หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล

ใช้สรรพนามแทนตัวว่า ลูก
เมื่ออยู่ที่บ้านชีทวนแล้ว หลวงปู่ออกจะพูดจาไพเราะเป็นพิเศษ เรียกโยมผู้ชายว่าพ่อ เรียกโยมผู้หญิงว่าแม่ ไม่เลือกว่าจะเป็นผู้มีอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า องค์ท่านเองก็ใช้สรรพนามแทนตัวว่าลูก
อดีตกำนันใจ เชื้อปทุม เล่าว่าเคยเรียนถามหลวงปู่ทองรัตน์เป็นการส่วนตัวว่าทำไมจึงพูดอย่างนั้น องค์ท่านบอกว่าต้องการจะฝึกหัดให้ลูกเต้าเขารู้จักพูดเพราะๆกับพ่อกับแม่ คือให้พูดอย่างมีสัมมาคารวะต่อพ่อแม่
ปกติชาวบ้านแถบนั้นพูดจาไม่สุภาพ กับพ่อจะเรียกอีพ่อ กับแม่ก็เรียกอีแม่ กับพี่ชายก็เรียกบักนั่นบักนี่ กับพี่สาวก็เรียกอีนั่นอีนี่ เป็นถ้อยคำดูเหมือนว่าไม่เคารพนับถือผู้ที่อาวุโสกว่าแม้ว่าในใจจะเคารพนับถือปานใดก็ตาม การสอนนี้เท่ากับสอนด้วยการทำให้ดู เพื่อให้เกิดมธุรสวาจาแก่ชาวบ้านนั่นเอง
ขณะอยู่ที่นี่ เหมือนดังว่าท่านพลิกนิสัยไปเป็นตรงกันข้าม มุทะลุดุดันเก็บเอาไว้ เอามธุรสวาจาและกิริยาสำรวมมาใช้
อย่างเช่นการใส่บาตร ถ้าเห็นว่าบ้านหลังไหนเตรียมอาหารวางไว้รอใส่ที่หน้าบ้าน แต่ไม่ได้คอยเฝ้ามองหรือรอพระ ที่จะมารับอาหาร
องค์ท่านก็จะเป็นฝ่ายยืนรอเสียเอง
หากฝนตกองค์ท่านจะบอกว่า “แม่ไม่ต้องออกมาดอก ประเดี๋ยวจะเปียกฝนไม่สบาย ลูกจะเข้าไปเอาเอง”
จนเกิดข้อกล่าวหาว่าพระประจบโยม
องค์ท่านก็ไม่ว่าอะไร
ยังคงพากเพียรที่จะสอนให้คนรู้จักใส่บาตรตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น
องค์ท่านว่า บ้านไหนไม่เคยใส่บาตร ถ้าสอนให้เขาใส่ได้ก็เป็นบุญทั้งเขาทั้งเรา

 

อุบายชักจูงให้คนใส่บาตร
มีบ้านหลังหนึ่งไม่เคยใส่บาตรท่านแม้แต่ครั้งเดียว ท่านหยุดที่หน้าบ้าน ชี้ไปที่ต้นกล้วยที่ลูกกำลังสุก
“อยากได้บุญไหมล่ะ กล้วยนั่นสุกแล้ว เอามาใส่บาตรนี่สิ จะได้บุญ”
เขาก็ตัดกล้วยมาใส่ถวาย
กลับถึงวัดองค์ท่านเอากล้วยทิ้ง ไม่ฉัน เพราะได้กล้วยมาไม่ถูกต้องตามพระวินัย ที่ยอมทำผิดวินัย เพื่อสอนเขา
บางบ้านเขาอ้างว่าข้าวยังไม่สุก จึงไม่ใส่บาตร วันหลังออกบิณฑบาตก็แบกฟืนไปด้วย ส่งฟืนให้แล้วว่าเอาไปเร่งไฟให้สุกเร็วๆ องค์ท่านก็ยืนรอรับบาตรจนกว่าข้าวจะสุก
พอถึงวัดก็เทข้าวทิ้งไปไม่ฉันเหมือนกัน

ผจญมาร
มีโยมชายคนหนึ่ง ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับหลวงปู่ จ้องจับผิดและกล่าวว่าหลวงปู่ประจบโยมเพื่อจะได้กินข้าวปลาอาหารดีๆ
คอยหาวิธีกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ เคยถึงกับเอาค้อนกับสิ่วใส่บาตรหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้รำพึงกับพระเณรที่อยู่ด้วยกันว่า
“เขาคงเห็นว่าวัดเราไม่มีค้อนกับสิ่ว เลยเอามาให้ใช้นะ”

โยมชายคนนี้คอยดักใส่บาตรหลวงปู่อีกครั้ง คราวนี้เป็นห่อใบตองอย่างมิดชิด

เมื่อกลับถึงวัดหลวงปู่แก้ห่อใบตองนั้นอย่างระมัดระวัง ถ้าเป็นน้ำก็ระวังไม่ให้หกรดอาหารอื่น ถ้าเป็นของแสลงก็จะไม่ให้แปดเปื้อนอาหารอื่น
พอแกะห่อใบตองเท่านั้น กบเป็นๆตัวเบ้อเริ่มกระโดดแผลวออกมา
องค์ท่านตะครุบไว้
“โอ้..เจ้านี่บุญหลายรอดตายเพราะเขาเอาเจ้ามาใส่บาตรเฮา ถ้าเขาเอาเจ้าใส่หม้อต้มแกงแทนบาตรเจ้าจะเป็นไงน้อ”
แล้วเอากบนั้นไปปล่อยลงน้ำในนา

บัตรสนเท่ห์(จดหมายน้อยขู่ขวัญ)
วันต่อมาออกบิณฑบาตตามปกติ โยมชายคนนั้นมาคอยยืนมองแล้วทำท่ายิ้มๆเยาะๆขบขัน องค์ท่านก็ไม่ว่าอะไร สำรวมเดินรับบาตรไปด้วยอาการสงบ
ถึงวัดแล้วจึงเห็นบัตรสนเท่ห์ปนกับอาหารอยู่ในบาตร เรียกพระเณรมาประชุมกัน ให้พระรูปหนึ่งอ่านข้อความในจดหมายน้อยนั้นให้ฟัง
“อ่านนะลูกอ่านดังๆฟังทั่วกันนะ อมฤตธรรมแน่ๆ เทวดาใส่บาตรมาให้”
ระหว่างพระลูกศิษย์อ่าน องค์ท่านนั่งพนมมือรับฟังเรียบร้อย

“พระผีบ้า เป็นพระเจ้ายังไงวะ ไม่มีศีลมีธรรม ไม่สำรวม ขี้ประจบ ขอแต่ของชาวบ้านแดก พวกกูไม่นับถือหรอก ให้หนีไปซะ อย่าอยู่บ้านนี้อีก ถ้ายังขืนอยู่ต่อไปพวกกูจะให้แดกลูกตะกั่วแทน”

พออ่านจบ องค์ท่านพนมมือท่วมหัว เปล่งวาจาว่าสาธุ สาธุ

“เอาไปเก็บไว้ที่แท่นบูชานะลูกนะ โลกธรรม8แท้ๆเลยนะ มีลาภก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์… สาธุ.. ธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้ๆ พ่อก็ช่างมีบุญหลายถึงได้ฟังแก่นธรรมแท้ๆวันนี้เอง เก็บเอาไว้ เก็บเอาไว้ที่แท่นบูชาเลยลูก”

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน