พระดีเมืองเชียงใหม่
วันนี้เห็นทีจะไม่สืบแต่พระเครื่องดีเท่านั้น อาหารอร่อยและดีมีเหมือนกัน
เจียงใหม่นะเจ้า
ผมไปเชียงใหม่เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมาโดยไม่รู้เป้าหมายว่าไปทำไม
แต่เมื่อมีคุณพิชย จารุทัศนางกูร เป็นพี่เลี้ยงตลอดการเดินทางทั้งไปและกลับ และมีคุณสุชิน วีระนิติกุล แห่ง หจก.เชียงใหม่วีระกิจ ให้การต้อนรับตลอดเวลาจึงทราบว่าผมไปในฐานะแขกของเพื่อนหรือพี่ทั้งสอง
จึงปรากฏภารกิจแค่สองสามอย่าง คือกินเที่ยว และกราบพระ จนน้ำหนักขึ้นอีก 2 กิโล เพราะว่าสบายเกินไป
คุณพิชยมารับผมที่บ้านสุขาภิบาล 1 ไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองได้ตั๋วพิเศษ fist class เป็นกำนัลจากคุณสุชิน เลยนั่งโก้ไปจนถึงเชียงใหม่
ตอนผ่านเครื่องตรวจอาวุธเกิดสัญญาณเตือนดังลั่น ผมจึงถูกแยกออกไปตรวจค้นอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
ปรากฏว่าเครื่องรางของขลังทั้งพระทั้งตะกรุดเป็นเหตุ
นึกในใจว่าเอ๊ะทำไมไม่ขลังจนเครื่องไม่อาจตรวจพบได้
เคยได้ยินแต่คนอื่นเล่าให้ฟังว่าของขลังที่พกไปเยอะๆ หรือแม้แต่สตางค์เหรียญถ้ามีมากเกินไป เครื่องตรวจอาวุธ(โลหะ) จะตรวจพบ
ผมพกไปเต็มอัตราศึกจริงๆด้วย
ที่คอก็มีเหรียญเงินหลวงพ่อชา ,พระประจำตัวที่สร้างโดยรวมเอาเกสา และอังคาร 62 พระอาจารย์ ชื่อว่าบริษัทพุทธานุภาพ, ตะกรุดหลวงพ่อคูณ, ตะกรุดหลวงปู่กินรี, ตะกรุดหลวงปู่โต๊ะ, ตะกรุดหลวงพ่อเดิม, ตะกรุดหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม, ตะกรุดหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอ, ตะกรุดหลวงปู่คำพันธ์, ตะกรุดหลวงปู่แหวน, ตะกรุดหลวงปู่ฝั้น, ตะกรุดหลวงปู่ชอบ, ตะกรุดหลวงพ่อชอบ วัดบ้านยาง (อาจารย์หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ) และยังมีพระกริ่งสามภพพ่าย ที่คุณสุธันย์สร้าง กับพระแก้วมรกตหมดห่วงอีกด้วย
นี่ที่แขวนอยู่ในคอ
ที่เอวก็มีตะกรุดคาดเอวหลวงพ่อมุ่ยวัดดอนไร่, ตะกรุดหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง, ตะกรุดหลวงพ่อพรหมมา เขมจาโร, ตะกรุดเสาร์ 5 หลวงพ่อฤทธิ รตนโชโต, ลูกสะกดปรอท อาจารย์รอดและตะกรุดคาดเอวหลวงปู่สาม อกิญจโน
คิดดู เครื่องตรวจอาวุธที่ไหนจะตรวจไม่พบ
วันเดินทางตรงกับวันสุดสัปดาห์ ตรงกับวันหยุสารทจีนคนเดินทางจึงมากผิดปกติ ต้องเปลี่ยนเครื่องบินลำใหม่เอา “เจ้าตัวโต” หรือโบอิ้ง 747 มาบินแทน เลยได้นั่ง 747 เป็นครั้งแรก
บนเครื่องบินก็ดำเนินการแจกพระปรกบัวชนะสงครามและพระอุปคุตให้บริกรชายและหญิงคนละองค์
ซึ่งทั้งคู่ดีใจมากก่อนลงจากเครื่องจึงได้รับไวน์ 1 ขวดเป็นสินน้ำใจ
เราก็รับเอาไวน์ทั้งขวดไว้อย่างซาบซึ้งในน้ำจิตน้ำใจอย่างไทยแท้ แม้ว่าจะไม่มีใครดื่มเลยก็ตาม
เครื่องบินใช้เวลา 55 นาทีถึงเชียงใหม่ อาหารมื้อแรกของเชียงใหม่จึงเป็นข้าวต้มกุ๊ยในโรงแรมราชวงศ์
กุ๊ยอะไรหนอหรูขนาดนั้น ที่นี่บอกได้เลยว่าใบปออร่อยจริงๆ
ผมว่าตามลิ้นไอ้เข้ของผม ถ้าไม่อร่อยลิ้นของคุณชายถนัดศรีหรือคุณแม่ช้อย ก็อย่ามาว่ากันให้ช้ำหัวใจหนา
กินที่ราชวงศ์อิ่มแล้วกลับมานอนที่เชียงอิน พลาซา ที่ต้องนอนตรงนี้เพราะรอยัล ปริ้นเซส ที่คุณพิชยนอนประจำห้องเต็ม
รุ่งขึ้นเป็นวันเฉลิมพระชนพรรษาสมเด็จพระบรมราชินีหรือวันแม่แห่งชาติ
ไปกินหยำฉ่ากันที่ห้องมิยูกิ รร.รอยัล ปริ้นเซส หยำฉ่าอร่อยก็อยู่ที่นี่อีกแห่งหนึ่งใครไปถึงเชียงใหม่หาโอกาสลองชิม
ตกบ่ายก็เลี้ยวเข้าสนามพระเครื่องเชียงใหม่ เรียกว่าตลาดทิพยเนตร พบพระแกะสลักจากแก้วซึ่งคนขายบอกว่าเป็นหินแกะสลัก
เป็นของเก่าออกมาจากวัดร้างในอำเภอฮอด คือเป็นพระกรุ แตกกรุออกมาจำนวนไม่มากนัก ผมจึงเช่าไว้ 1 องค์ เป็นแก้วสีน้ำตาลแม่โขงสวยดี
ทีแรกผมก็เชื่อว่าเป็นหินแกะสลักจริงๆ เพราะว่ามีน้ำหนักมากกว่าแก้ว ซึ่งถ้าหากเป็นหินก็จะเป็นเขี้ยวหนุมาน หรือที่เมืองกาญจน์เรียกว่าเพชรน้ำค้าง หรือแก้วโป่งข่ามของชาวเหนือ แต่เรียกตามภาษาธรณีวิทยา ก็คือควอชท์ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร เป็นแก้วหรือเป็นหินราคาเช่ามาองค์ละพันแปดก็เกินคุ้มสำหรับฝีมือแกะสลัก ขนาดนั้นถ้าไปจ้างเขาแกะทุกวันนี้ก็สามสี่พันบาท แถมไม่สวยเท่า
ภายหลังได้นำพระแก้วแกะสลักนี้ให้คุณปัญญา โกวิทธวงศ์ตรวจดู ค่าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณี คำพูดจึงเชื่อถือได้ คุณปัญญาบอกว่าไม่น่าจะเป็นควอชท์ คิดว่าเป็นแก้วมากกว่า คือหล่อแก้วเป็นแท่งแล้วนำมาแกะสลักอีกที
ผมแย้งว่าทำไมแก้วจึงหนักนัก คำตอบก็มีว่าลักษณะการหล่อแก้วชนิดนี้จะเติมปรอทลงไปด้วย
คุณสมบัติของปรอทจะเพิ่มน้ำหนักและสีสันให้แก้วดูพิเศษกว่าแก้วทั่วไป และวิทยายุทธ์ในการหล่อแก้วแบบนี้ก็มีมาดั้งเดิมตั้งแต่หลายร้อยปีมาแล้ว
ฝีมือช่างแกะสลักชุดนี้ดูแล้วเกสรมือที่ปรากฏไม่ใช่มือช่างธรรมดา เพราะว่ามีความสวยงามวิจิตรเกินไป น่าจะเป็นช่างหลวง และเป็นผลงานการสร้างของคนระดับเจ้าเมืองหรือกษัตริย์เท่านั้นที่จะพอมีความ สามรถบัญชาการสร้างและเอาลงกรุสืบทอดศาสนา
ข้อวิจารณ์นี้ฟังดูเข้าเค้ามากที่สุด พระแก้วแกะสลักกรุวัดร้างอำเภอฮอดจึงถูกก๊วนของผมไล่เก็บจนหมดตลาดทิพเนตรในวันนั้น
ตอนบ่ายไปแวะกราบพระแก้วขาวที่เป็นควอชท์จริงๆ และเป็นพระประธานองค์สำคัญ ในวิหารวัดเชียงมั่น พบว่ามีพระแก้วแกะสลักกรุฮอดวางอยู่ในตู้องค์หนึ่ง ถามราคาดูก็หงายท้อง
หลวงพี่ที่ดูแลตู้พระเครื่องบอกว่า อันนี้เป็นพระแก้วแกะสลักโบราณกรุฮอดแพงหน่อยคือองค์ละ 7 พัน
เป็นอันว่าที่เราเช่าจากตลาดทิพเนตรมาในราคาพันแปดก็เลยเป็นของราคาถูกไป
ตกค่ำเราไปอีกแล้วที่ร้านแกงร้อนบ้านสวน เจ้าของร้านเป็นชาวอยุธยา มาขายข้าวแกงที่ มช. ก่อนจนเป็นปึกแผ่น แล้วมาเปิดสวนอาหารแกงร้อนบ้านสวนในปัจจุบันที่ลัดดา แลนด์ ได้ทดลองกิน “รถด่วน” หรือหนอนมะพร้าวทอดกรอบ เป็นครั้งแรก อร่อยดี
รสชาติเหมือนกินกุ้งฝอยชุบแป้งทอด
ใครไปถึงเชียงใหม่ หาที่กินอร่อย ได้ที่นี่เป็นอันไม่ผิดหวัง
ระวังแต่คนแน่นจนลำบากในการหาโต๊ะและหาที่จอดรถ แต่ถ้าไม่ใช่น่าเทศการท่องเที่ยวก็คงพอสะดวกอยู่ อาหารอร่อยในเมนูมีหลายอย่าง สั่งกินเถอะ
ไอ้เข้อย่างผมอร่อยหมดทุกรายการเชียว
อิ่มแล้วก็มาย่อยรถด่วนด้วยไอริช คอฟฟี่ที่ล้อบบี้เชียงอิน พลาซา เป็นการส่งท้ายที่นี่ก่อนจะย้ายออกไปนอนที่ รอยัล ปริ้นเซส เพราะว่าห้องที่นั่นว่างและได้ห้องคอนเน็คติ้ง นอนสบายตลอดการอยู่เชียงใหม่ เที่ยวนั้น
ที่รอยัล ปริ้นเซส ก็แจกพระปรกบัวชนะสงครามไปหลายองค์
กราวด์โฮสเตส ที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใส รับพระอย่างมีความสุข
มีอยู่คนหนึ่งรู้สึกจะเอาใจใส่เราเป็นพิเศษ เจอกันตอนหลังเห็นหน้าก็ยังยกมือไหว้ขอบคุณเรื่องที่ให้พระอีก ทั้งๆ ที่ก็ไหว้ขอบคุณกันไปครั้งหนึ่งแล้ว
เข้าใจว่าพระจะเป็นของที่พิเศษสุดสำหรับหล่อนจริงๆ
ทำให้รู้สึกได้บุญเยอะขึ้น
พระพุทธเจ้าว่าการให้ที่สมบูรณ์ต้องยินดีทั้งผู้ให้และผู้รับ
บางที่ให้พระแก่เขาไปแล้ว เขาก็โยนไว้บนหิ้งจนลืมเราก็พลอยซึมๆ ไปเหมือนกัน
วันรุ่งขึ้นเราปฏิเสธอาหารเช้าแบบอเมริกกันที่รอยัล ปริ้นเซส จัดไว้รับรองแขก แต่ไปหาโจ๊กข้างถนนที่ไนท์ พลาซาแทน
เสร็จแล้วออกเดินทางไปเชียงรายโดยรถเบนซ์คันโปรดของคุณสุชิน มีเป้าหมายคือพระตำหนักดอยตุง ซึ่งคุณพิชยจะต้องไปตรวจดูกระเบื้องปูฟื้นห้องอะไรไม่ทราบที่คนทำงานในพระ ตำหนักที่เป็นผู้หญิงอาศัยพักนอน
ซึ่งกระเบื้องที่ปูนั้นมีน้ำใต้ดินซึมขึ้นมาเรียกว่า ”น้ำเหนียว” เพื่อจะหาทางแก้ไข
อันนี้เป็นงานของคุณพิชย แต่ดอยตุงสำหรับผมไม่ใช่งานแต่เป็นที่เปิดหูเปิดตาทางท่องเที่ยว
คุณสุชินขับรถเร็วมากใช้เวลาผ่านดอยสะเก็ดแค่ชั่วโมงเดียว ในขณะที่รถทัวร์เชียงใหม่ เชียงราย ต้องใช้เวลาปกติ 2 – 4 ชั่วโมง
ต้องนั่งปลุกพระกันตลอดทาง
ระหว่างทางเชียงใหม่ไปเชียงรายนั้น มีร้านอาหารอร่อยอีกแห่ง ตั้งอยู่ริมถนนสายเชียงใหม่เชียงรายนี่แหละ อยู่กลางอำเภอเวียงป่าเป้า ชื่อร้านเจือจันทร์ ซึ่งลิ้นมาตรฐานของคุณชายถนัดศรีมาชิมไว้ก่อนแล้ว พอชิมเสร็จให้สมญาว่า “ช้างเผือกเกิดในป่า”
ที่นี่แกงเขียวหวานอร่อยดี ใข่เจียวหมูสับทอดมาเป็นก้อนเหมือนปลาดุกฟูก็อร่อยดี เสร็จมื้อกลางวันออกจากร้านเจือจันทร์มุ่งดอยตุง
ได้ถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จย่าแทนพระบรมศพด้วย ทางพระตำหนักได้จัดที่ถวายบังคมไว้ในท้องพระโรงใหญ่ของพระตำหนัก
บนดอยตุงอากาศเย็นดีเหลือเกิน สมเป็นที่สัปปายะของสมเด็จย่าแท้จริง
ได้ไปสัมผัสสักครั้งหนึ่งก็เป็นบุญตัว
กลับจากดอยตุงก็มุ่งเชียงใหม่โดยไม่แวะที่ไหน ถึงเชียงใหม่ค่ำพอดี ก็หิวอีกซิครับ
คุณสุชินนำเราไปที่ร้านบ้านสวนอยู่ริมทางไปสันกำแพง ตรงจากสี่แยก รร.ปอยหลวง ไปทางสันกำแพงนิดหน่อยก็ถึง ที่นี่มีลาบคั่วกับไส้อั่วอร่อย ใครไปถึงที่นั่นให้สั่งกิน
ไอ้เข้รับประกันว่าอร่อยจริง
กลับถึงโรงแรมพบมิตรภาพจากคนเก่าอีก อุตสาห์มีมารยาทถามไถ่ว่าพวกเราไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างในวันนี้ เลยเสียพระเนื้อเงินไปอีกองค์อย่างเต็มใจ
คืนนั้นเหนื่อยงดออกไปแร่ด
รุ่งขึ้นไปวัดศรีดอนมูลของครูบาผัด ไปบูชาครูบาศรีวิชัยเนื้อผงคลุกรัก เป็นพระเก่าที่สร้างแต่สมัยประมาณ พ.ศ. 2500
ครูบาผัดยังเป็นผู้น้อยอยู่ ท่านเคยเป็นสามเณรอยู่กับครูบาศรีวิชัย จึงเสมือนกับครูบาศรีวิชัยเป็นอาจารย์ ได้เก็บเกสาของครูบาศรีวิชัยไว้
จนหลายปีที่ครูบาศรีวิชัยมรณภาพแล้ว ได้คิดทำพระเครื่องครูบาศรีวิชัยขึ้นเป็นส่วนตัว มีจุดประสงค์แค่จะเก็บเกสาครูบาศรีวิชัยไว้ในพระ ไม่ให้กระจัดกระจายไปที่อันไม่สมควร
เมื่อสร้างแล้วก็เก็บเข้าพิธีเสกมาตลอดเวลาหลายสิบปี มีครูบาพรหมจักรสังวร วัดพระพุทธบาทตากผ้าเป็นองค์หลักในการปลุกเสกหลายครั้ง
ทุกวันนี้มีเหลืออยู่ในวัดท่านไม่กี่องค์แล้ว ท่านให้บูชาองค์ละ 300 บาท
ผมเอาไว้อย่างปลื้มปิติที่สุด
เพราะทุกองค์มีเกสาครูบาศรีวิชัยบรรจุอยู่ข้างในใครอยากได้พระดีก็รีบไปบูชากันเสียเถิด
หมดเมื่อไหร่ก็เป็นอันหมดเลย
ดูเหมือนไปเชียงใหม่เที่ยวนี้ได้พระดีที่สุดก็องค์นี้เอง จะบอกว่าเกินคุ้มก็ใช่ที่เพราะพระไม่ใช่เรื่องลงทุนรอนให้เกิดอาการคุ้มไม่ คุ้ม
แต่ถือเป็นมงคลอันยิ่งได้
ตอนค่ำวันนั้นก็ถึงกำหนดเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก่อนผ่านเครื่องตรวจอาวุธ
ผมนึกในใจว่าพระทุกองค์ ตะกรุดทุกดอก ขอให้แสดงอภินิหารอย่าให้เครื่องตรวจอาวุธ ตรวจพบ ให้เงียบกริบไม่มีสัญญาณเตือนภัย
ถ้าไม่เหลือวิสัยแล้วโปรดแสดงอภินิหารด้วย
พอเดินผ่านเครื่องเท่านั้นแหละครับ โอ๊ยโย๋เสียงสัญญาณดังลั่นเชียว
แต่แปลกที่เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ตรวจอาวุธกลับมองดูผมเฉยอยู่
ยิ้มให้กับอาการเก้ ๆ กังๆ ของผม แล้วผายมือให้ผมเดินผ่านไปโดยไม่ตรวจค้นเลย
สงสัยอยู่จนเดี๋ยวนี้ว่าเพราะอะไรจึงไม่ตรวจ หรือคนอื่น ๆ เขาก็ไม่ตรวจเหมือนกันก็ไม่รู้
สืบหาพระเครื่องดีงวดนี้ก็ไม่ได้สืบแต่เรื่องพระดีเท่านั้นจริง ๆ เห็นไหมละ
ขอขอบคุณคุณสุชิน ,คุณพิชย และพี่หมอที่อยู่เคียงกันตลอดเวลาในเชียงใหม่
(เมื่อครั้งลงเรื่องพระอุปคุตพันฤทธิ์ และปรกบัวชนะสงครามนั้น ได้ลงหมายเลขโทรศัพท์ของคุณจงรักษ์ แสงสุริยะกุล ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกาเพื่อคนไทยถือพุทธศาสนา ผู้สนใจได้ติดต่อขอรับ พระอุปคุตและปรกบัวฯ ผิดไป แท้จริงหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกต้องคือ 213-668-2437 และ 213-664-5871 ขออภัยเจ้าของหมายเลขที่ลงผิดด้วย เพราะถูกรบกวนจากผู้ติดต่อโดยไม่เจตนา)
งานเขียนของคุณอาอำพล เจน จากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ฉบับที่ 313
วันที่ 16 ม.ค. 2539
——————————————————————————-