คาถาเมาเซตุง

 

ประมาณปลายเดือนที่แล้ว มีข่าวไม่เล็กไม่ใหญ่ที่น่าสนใจอยู่ข่าวหนึ่ง คือ กองทัพไทยเปลี่ยนนโยบาย เอาชัยพวกคอมมิวนิสต์เสียใหม่

จากสงครามมาเป็นสันติวิธี

นายกรัฐมนตรีบอกว่าถ้าต้องการเอาชนะคอมมิวนิสต์ตลอดไป ต้องเร่งรัดเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตย ให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ย้ำว่าขณะนี้กองทัพยึดมั่นในหลักการพิทักษ์รักษาเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตย

ส่วนการเกิดปฏิวัติรัฐประหารเป็นเพียงทหารบางกลุ่ม

ผลการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยในรอบ ๖ เดือนที่ผ่านมาเวลานี้เหลือกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์เพียง ๘๐๐-๑,๐๐๐ คน ลดลงกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยมี ๑๒,๐๐๐ คน เมื่อ ๕ ปีที่แล้ว

ภาคใต้ยังมีกองกำลังติดอาวุธมากกว่าภาคอื่นคือ มีประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ คน แต่มีแนวโน้มเปลี่ยนจากกระบวนการทางการเมือง ไปสู่กระบวนการทางมิจฉาชีพมากขึ้น คือจากทหารป่ามาเป็นโจรป่า ส่วนในภาคอีสานมีบ้าง ภาคเหนือและภาคกลาง แทบจะไม่มีเลย

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เสนาธิการทหารบก (ยศในขณะนั้น)กล่าวว่า เมื่อก่อนเราเน้นหนักที่จะเอาชนะสงคราม แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป สงครามนั้นสิ้นสุดแล้ว ขณะนี้จึงเป็นการต่อสู้ในทางสันติ

ต้องเอาชนะคอมมิวนิสต์ ทางความเชื่อถือ ซึ่งเราต้องมีสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อถือได้ดีกว่า

ให้เขาเชื่อว่าประเทศของเรากำลังพัฒนาไปสู่ความผาสุก

การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความผาสุกนั้นสามารถทำได้กับชนทุกชั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น

ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าว่าเมื่อครั้งที่เป็นนายกรัฐมนตรีเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศ จีน หนังสือพิมพ์ฮ่องกงเคยถามท่านว่ารัฐบาลจีนสนับสนุน ช่วยเหลือ ผู้ก่อการร้ายในประเทศไทย ทำไมท่านจึงจะไปกลมเกลียวสามัคคีอะไรกับรัฐบาลเขาและท่านได้ตอบอย่างนี้
“ผมว่ามันคนละเรื่อง นั่นมันเรื่องของพรรคคอมมิวนิสต์เขา นั่นมันกิจการของพรรคคอมมิวนิสต์ต้องช่วยคอมมิวนิสต์ ผมไปนี่ผมไม่ได้ไปในนามของพรรค ผมไปในนามรัฐบาลไทย ผมก็จะไปติดต่อกับรัฐบาลจีนซึ่งถือว่าเป็นพรรคก็ได้ ขอให้เป็นรัฐบาลก็แล้วกันจะได้เจริญสัมพันธไมตรีกันที่นั่น”
และเล่าต่อไปอีกว่า
“รุ่งขึ้นอีกวันแกอ่าน (เมาเซตุง) แกชอบใจใหญ่ แกบอก เออๆ ลื้อให้สัมภาษณ์ดีนี่….นี่มันถึงจะถูก พูดอย่างนั้นน่ะถูกแล้ว” และแกก็สอนวิธีปราบคอมมิวนิสต์ให้

แกบอกว่า “ไอ้คอมมิวนิสต์ น่ะมันไม่สำคัญ อั๊วเป็นหัวหน้าเป็นประธานใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์มาหลายปีแล้ว ไม่เคยเห็นมีพรรคคอมมิวนิสต์ไทยมาแสดงความเคารพสักคนเลยว่ะ”

ผมก็เลยบอกว่า “นี่ๆ เดี๋ยวพูดกันให้ดีก่อน ที่ท่านประธานพูดอย่างนี้ท่านเอาจริงเหรอ ที่อยากให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทย มาแสดงความเคารพน่ะ ถ้าจริงพรุ่งนี้จะส่งมาให้สี่คน”

แกบอก “เออ…..คงไม่มีเวลาพบ”

ผมก็ว่า “แน้…..ท่านประธานไม่เอาจริงนี่ มันจะยากง่ายอะไรกันเวลามันมาปักกิ่ง มันก็อดติดต่อคนไทยไม่ได้ มันก็มาสถานทูต สถานทูตเขารู้จักทั้งนั้นถ้าจะเอาจริง ผมจะบอกสถานทูตตามมาให้ พรุ่งนี้มามากกว่าสี่คนยังได้” แกไม่เอาจริงก็แล้วไป

แกเลยสอน แกบอกว่า “นี่จะบอกให้ฟังนะ ลื้อปกครองประเทศที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก

จะปราบคอมมิวนิสต์นี่ต้องจำไว้

คือขึ้นต้นอย่าไปด่ามัน มันหน้าด้าน ด่าเท่าไหร่มันก็ไม่เจ็บ ดูอย่างอั๊วซีใครด่าอั๊ว อั๊วก็ไม่เจ็บ

ประการที่สองอย่าไปฆ่ามัน ไอ้คอมมิวนิสต์มันชอบเป็นฮีโร่ ลื้อยิงมันตายสามคนมันวิ่งมาให้ยิงอีกเจ็ด มันอยากเป็นฮีโร่ ลูกปืนจะไปพอยิงอะไรมัน

ประการที่สาม ถ้ามันอยู่ป่า ลื้ออย่าส่งกำลังทหารไปปราบมันนะ ไปมันก็หนี ลื้อจะเก็บทหารไว้ในป่าชั่วกัปชั่วกัลป์ได้ยังไง เข้าไปอยู่สี่ห้าเดือนก็ต้องถอนทหารออกมาอยู่ที่ตั้งเดิม มันก็กลับมา เสียเงิน เสียเวลาเปล่า

ประการที่สี่ ลื้อจะปกครองบ้านเมืองของลื้อยังไงให้ราษฎรพอใจ ให้เขามีรายได้ดี มีงานทำ มีความปลอดภัยในชีวิต มีความหวังในอนาคต

แบบนี้คอมมิวนิสต์ที่ไหน ก็ทำอะไรลื้อไม่ได้ นี่แหละที่อั๊วเคยบอกเจียงไคเช็คมาแล้ว แต่อีไม่ฟังอั๊ว แล้วดูซี เวลานี้อีอยู่ที่ไหน”

ผมเคยบอกว่า “อยู่ในหลุม แกจะพูดว่าไปอยู่ไต้หวัน แต่ผมว่าไม่ใช่ ลงหลุมไปแล้ว ประธานเตี่ยอย่าพูดมากนี่น่ะท่านสอนผม คาถาเมาเซตุงนะ”

ปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ ผมเข้าออกป่าโนนดินแดง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ริมทางสายละหานทราย ตาพระยาเสมอๆ ไม่ได้เข้าไปเป็นคอมมิวนิสต์ คอมมิวหน่อยอะไรหรอกครับ ผมไปเยี่ยมพี่ชายซึ่งก่นสร้างถางป่าทำไร่ข้าวโพดกลางป่านั้น

ผมเจอกับคนของพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศไทยบ่อย ๆ ทางนู้นเขาเรียกว่าทหารป่า หรือพวกป่าเจอกันเกือบทุกวันพวกเขาเท่าที่ทราบมีประมาณ ๒๕ คน แต่ที่พบเสมอ ๆ เพียง ๑๕ คน แต่ละคนอาวุธครบมือ หรือที่เรียกว่ากองกำลังติดอาวุธ ออกลาดตระเวณหรือไปปฏิบัติการณ์อะไรที่ไหนมักจะผ่านกระท่อมที่พักของพี่ชาย ผมทั้งขาไปขากลับ

เมื่อผ่านก็จะแวะพักเหนื่อยชั่วครู่ บางทีก็กินข้าวเสียด้วยกัน ก็เลยมีโอกาสได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้าง เคยถามเขาเล่นๆว่า อย่างผมนี่เป็นทหารป่าได้ไหม เขาว่าทหารป่าไม่ใช่จะเป็นได้ง่ายๆ เขาพิถีพิถันคัดเลือกเหมือนกันอย่างผมนี่เขาต้องดูก่อนว่าจะมาเป็นทหารป่า เพราะเหตุใด

ผมถามอีกว่า ส่วนใหญ่เมื่อมีใครเข้ามาเป็นสมัครพรรคพวกกันแล้ว มันจะต้องมีการฝึกยุทธวิธีตามแบบของเขา และจะต้องไปฝึกกันที่ไหน

เขาบอกว่า ปักกิ่งเดินเท้าจากตรงนั้นผ่านป่าข้ามเขาเข้าไปถึงเขมรประมาณสิบห้าวัน แล้วจะมีรถรับไปถึงฮานอยจากนั้นก็ส่งผ่านเข้าไปสู่ประเทศจีนอีกทอด พอฝึกสำเร็จก็ส่งกลับมาประจำการในที่ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม

เวลานั้นเรายังไม่ทันเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน ทางจีนเขาก็ปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้สนับสนุนผู้ก่อการร้ายในประเทศไทย

ผมจึงเป็นอันได้ทราบอย่างแน่ชัดในขณะนั้นว่า ที่เขาปฏิเสธนั้นไม่จริง เพราะมันค้านกับที่คนของเขาในประเทศไทยได้บอกไว้

และเขาเล่าว่า ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาร่วมพรรคร่วมอุดมการณ์ด้วยกันนั้น มักถูกบีบคั้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้าราชการอำเภอ ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกกลั่นแกล้งจนทนไม่ได้ จึงบังเกิดความแค้นอยากตอบโต้คืนบ้าง

ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นก็ต้องกลายเป็นโจรเป็นผู้ร้ายผิดกฎหมายไป

แต่หากเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เสียแล้ว ก็จะได้ตอบโต้แก้แค้นคืนเอาบ้าง ถึงจะผิดกฎหมายบ้านเมือง ก็ยังถูกอีกทางหนึ่ง

ไม่ได้เป็นโจรเป็นผู้ร้าย ความยุติธรรมความแค้นก็จะทวงถามเอาคืนได้

ผมฟังๆแล้วก็นึกเห็นใจ เพราะความคับแค้นแบบนี้มันเกิดขึ้นได้เสมอๆกับประชาชนคนตาดำๆ ไม่มีฤทธิ์มีอำนาจอะไร และก็ออกจะห่วงเอามากๆ ว่านี่เป็นจุดอ่อนที่อ่อนเอามากๆ ของฝ่ายบ้านเมืองเรา ซึ่งฝ่ายโน้นเข้าลุยชกต่อยเอาได้ง่ายๆ

โดยที่กี่ปีกี่ชาติก็ไม่เห็นจะแก้ไขจุดอ่อนอันนี้ได้จริงจังสักที

ตรงกับที่ประธานเมาบอกว่า ทำไมจึงจะปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรพอใจ มีความปลอดภัยในชีวิต มีความหวังในอนาคต

คาถาเมาเซตุงที่ให้กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไว้ท่องเพื่อปราบคอมมิวนิสต์ ดูไปก็ศักดิ์สิทธิ์จริง

พอตำรวจยกเข้าไปปราบ ก็เห็นแต่รอยเท้าทหารป่า แต่พอตำรวจเข้าไปจำนวนน้อย ก็ถูกลอบโจมตีเอาถึงบาดเจ็บล้มตาย

ฟังวิทยุประเทศไทย ด่าคอมมิวนิสต์

ก็ได้ยินวิทยุเสียงจากประชาชนไทยด่ากลับ

ถูกจับหรือถูกฆ่าตายไปคนสองคน ก็มีคนสืบทอดเจตนารมย์ต่ออีกเจ็ดคนแปดคน

ปราบยากจริงอย่างว่า

แล้วก็ออกจะเห็นด้วยอย่างมากที่รัฐบาลได้ประกาศเปลี่ยนนโยบายปราบ คอมมิวนิสต์เสียใหม่โดยใช้สันติวิธี ไม่ใช้สงครามและถ้าแก้ไขจุดอ่อนต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ยิ่งดีใหญ่ ซึ่งถ้าจะว่ากันจริง ๆแล้ว

หากทำได้เช่นนี้ประเทศไทยก็จะไม่มีคอมมิวนิสต์

ในเมื่อไม่มีเหตุอะไรจะบันดาลให้คนต้องเป็นคอมมิวนิสต์เสียแล้ว

คอมมิวนิสต์จะมีขึ้นมาได้อย่างไร

จริงไหมพระคุณท่าน

…………………………………..
อีกแง่มุมหนึ่งของคุณอาอำพลเจน
เรื่องนี้มีการดัดแปลงนิดหน่อยครับ

ประโยคที่ดัดแปลง
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เสนาธิการทหารบก เนื้อเรื่องจริงจากต้นฉบับมีเพียงเท่านี้
แต่เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเนื่องจากคุณอาอำพลได้เขียนเรื่องนี้ไว้นานแล้ว
ผมจึงได้เพิ่มคำว่า ( ยศในขณะนั้น ) ต่อท้ายลงไปด้วย
ผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ณ.ที่นี้ด้วยครับ

และกราบขออภัยเจ้าของต้นเรื่องด้วยครับ
ที่ทำการแก้ไขดัดแปลงโดยมิได้แจ้งให้ทราบก่อน

——————————————————————————–
งานเขียนของคุณอาอำพล เจน  … จากหนังสือแปลก ฉบับที่ 507
วันที่ 12 พฤศจิกายน  2528
——————————————————————————–
แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน