คนร้องเพลง
“คนร้องเพลง”
เขียนโดย ยสธสาร
(นามปากกาของอำพล เจนใช้สำหรับเขียนคอลัมน์”อีสานสนุก”ในนิตยสารแปลกรายสัปดาห์ระหว่างปี2525-2533)
การที่ใครสักคนหนึ่งจะร้องเพลงได้ไพเราะระเบิด ท่านว่ามันเป็นเรื่องของพรสวรรค์
คำว่าพรสวรรค์ในความหมายที่เกี่ยวข้องกับการร้องเพลง
ท่านคนเดียวกันกล่าวว่า หมายถึงน้ำเสียงที่เปล่งออกมาหยั่งที่นักประพันธ์ไส้แห้ง ไส้เปียกทั้งหลายตีสำนวนว่า
เสียงเหมือนระฆังเงิน
ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นระฆังไม้ ระฆังเหล็ก ระฆังทองเหลือง ทองแดงหรือแม้แต่ระฆังเงิน ผมว่าถ้ามันมากลายเป็นเสียงของคนจริง ๆ เข้าให้แล้ว
คงต้องกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดใหญ่โต
เจ้าของเสียงระฆังเงินคงได้ถูกกำหนดให้ร้องแต่เพียงในวัดแถว ๆ ระเบียงโบสถ์ ระเบียงวิหาร หรือในโรงเรียนเวลาเที่ยง
แล้วก็แถวสถานีรถไฟสักแห่ง
บางทียังเปรียบกันไปอีกว่าเสียงเหมือนนกการเวก และไอ้ตัวนกการเวกนี่หน้าตามันเป็นยังไงไม่รู้ ซ้ำเสียงของมันก็ยังนึกไม่ออก
ตั้งแต่เกิดมาเคยได้ยินเข้าให้บ้างไหม นั่งนึก นอนนึก ยืนนึก ห้อยโหนบันไดรถเมล์นึก ตีลังกาหกคะเมนม้วนตัวสิบรอบแล้ว ก็ยังนึกไม่ออก
แต่ยังมีอยู่คนหนึ่งบอกผมว่า เสียงนกการเวกเหมือนกะเสียงแคน
บอกเสร็จก็ชักตำนานแคนขึ้นมาทันทีว่า สมัยก่อนมีพรานป่าคนหนึ่ง ซึ่งคนเล่าไม่ได้บอกไว้เสียด้วยว่าชื่ออะไร เป็นคนชาติไหน ก็ต้องสวมวิญญาณนักเดา คาดเดาว่าต้องเป็นคนอีสานแน่ ๆ
เพราะเจ้าสิ่งที่ถูกเรียกว่าแคน มันมีอยู่ที่นั่นแห่งเดียวในโลก
พรานป่าคนนี้เข้าไปล่าสัตว์ในป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นป่าที่มีความพิสดารอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นตำนานเรื่องไหนของชาติใด ก็ล้วนแต่มีป่าหิมพานต์มาเกี่ยวข้อง
ชะรอยว่าสมัยนั้น ป่าหิมพานต์คงเป็นป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมพื้นที่ไปทั่วโลก
กระทั่งพรานป่าคนนี้ที่อาศัยอยู่ทางภาคอีสาน ยังเดินทางเข้าไปในป่าหิมพานต์ได้ไม่ยาก
พรานป่าคนเดียวกันนี้แกเกิดไปเจอะกะนกการเวกเข้า แล้วบังเอิญให้ได้เจอะกันอีตอนมันกำลังอารมณ์ดีเลย ร้องเพลงให้ฟัง
พรานป่าได้ยินแล้วบังเกิดความจับจิตจับใจกับเสียงของนกมหัศจรรย์ตัวนี้เป็นอย่างยิ่ง
พอกลับจากป่าหิมพานต์ถึงบ้าน ก็จัดแจงสร้างเครื่องดนตรีขึ้นมาชิ้นหนึ่ง โดยมีเป้าหมายประสงค์จำลองเสียงนกการเวกนั้น ปรากฏว่าสามารถทำได้สำเร็จเสร็จสมอารมณ์หมาย ได้เครื่องดนตรีที่มีเสียงเหมือนนกการเวก ทุกประการ
เครื่องดนตรีชิ้นนี้ก็คือ แคน
ทีนี้คนเปรียบเสียงร้องเพลงของใครสักคนหนึ่งว่า ไพเราะเหมือนเสียงนกการเวก ผมว่าเป็นการเปรียบเทียบแบบส่งเดช
ไม่ได้มีความรอบรู้กระจ่างแจ้งชัดแต่อย่างใด
ก็ลองคนร้องเพลงเสียงเหมือนแคนเข้าให้แล้ว วงการเพลงทั่วโลกคงได้ตกตะลึงพรึงเพริดระเบิดทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย
แล้วเขายังเปรียบไปอีกร้อยสี่พันอย่าง
เสียงเหมือนน้ำเซาะหินบ้าง เสียงเหมือนขยี้ฟองเบียร์บ้าง เสียงกำมะหยี่บ้าง เสียงอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายตามแต่จะนึกเปรียบกันไป
ซึ่งเสียงแต่ละเสียงที่เปรียบว่าเหมือนนั้น ล้วนแต่เป็นเสียงอันแปลกประหลาดพิลึก พิลั่น ชวนตื่นตระหนกตกใจได้ทั้งสิ้น
คนมีพรสวรรค์ด้านน้ำเสียงที่ดี ใช่ว่าจะร้องเพลงได้ดีเสมอไป
เสียงดีแต่ร้องผิดตัวโน้ตก็ยังถือว่าร้องเพลงดีไม่ได้ อย่างเช่นร้องว่า “น้องนางทำไมไม่ยอมห่างแม่ จะไปทางไหนกะแล่วแต๊” อีตอนขึ้นต้นก็ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ดีอยู่หรอก พอจบวรรคสิ้นประโยคดันหลงตัวโน้ตซะนี่ แทนที่จะเป็น “จะไปทางไหนก็แล้วแต่” ผ่าหลงเสียงพรวดพราดไปเป็น “กะแล่วแต๊” ยังงี้ถึงเสียงดียังไงก็ยังถือว่าร้องเพลงดีไม่ได้
มีพรสวรรค์แล้วจะร้องเพลงให้ดี จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการฝึกฝนหาความชำนาญ หาประสบการณ์ และเรื่องการฝึกฝนนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเลือกเวลา สถานที่แน่นอนตายตัว สามารถจะฝึกฝนเสียงของตนเองได้ทุกเวลาทุกสถานที่
นักร้องที่มีชื่อเสียงหลายคนฝึกร้องเพลงบนหลังควาย
เวลาต้อนควายไปเลี้ยงกลางทุ่ง เป็นการฝึกขั้นต้น คือร้องให้ควายฟังเสียก่อน ควายไม่ประท้วงหรือฮึดฮัดสะบัดตกจากหลัง ก็ค่อยเปลี่ยนจากควายมาเป็นคน พอคนฟังแล้วไม่มีอาการโรคประสาทกำเริบก็เป็นอันใช้ได้
เรียกว่าฝึกและฝนสำเร็จเป็นคนร้องเพลงดี
บางคนก็มักฝึกฝนในที่ลับตาคน เช่นในส้วม
นักร้องหลายคนเล่าให้ผมฟังว่าเขาเคยร้องเพลงเวลาเข้าส้วมเป็นประจำ
ถึงแม้จะมีผู้ประสบความสำเร็จจากการฝึกร้องในส้วมมาบ้างแล้วก็ตาม ในความคิดเห็นส่วนตัวผมไม่ขอแนะนำ สถานที่ไม่เหมาะกับบรรยากาศอย่างหนึ่งล่ะ และภารกิจที่ปฏิบัติ ก็เป็นปฏิปักษ์อย่างแรงกล้าอีกอย่างหนึ่งสำหรับการฝึกร้องเพลง เช่นว่า
“เด็กชายคนนั้นดูหงอยเหงา ในมือของเขามี….อื๊บบบ…..ทินเน่อร์ เด็กหญิงคนนั้นดู…..อื๊ดดด…..ซึมเซา ฮึดดอื๊บบบ…….ทั้งเธอและเขา อู๊บบบอูยยย……ดมทินเน่อร์…….”
นับว่าเป็นการฝึกที่ทุรยุคอย่างยิ่ง แล้วถ้าหากผู้ฝึกเป็นริดสีดวงทวาร นับว่ายากลำบากมากที่จะประสบความสำเร็จสมอารมณ์หมาย
ทั้งนี้ยังมีอีกประเภทหนึ่งคือ ร้องเพลงได้
ต้องขอใช้คำว่า”ได้” ไม่ใช่คำว่า”เป็น”หรือ”ดี”
คนที่ร้องเพลงได้แต่เสียงไม่ดีเป็นอีกแบบหนึ่งที่ทุรยุคทุรกรรม ทุรเวรอย่างยิ่ง
พรรคพวกใกล้ ๆ ตัวผมนี่แหละเป็นตัวอย่างที่พอจะเอามายกได้ คือเวลาแกร้องเพลงเสียงที่เปล่งออกมานั้น เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ออกมาทางรูจมูก แล้วก็ขยันร้องได้ร้องดี ร้องเป็นวรรคเป็นเวร ร้องอยู่ชั้นล่าง พรรคพวกนั่งพิมพ์ดีดก๊อกแก๊ก ต้องหยุดกึกกันเป็นแถว ตาขัดตาขวางกันทุกคน พร้อมที่จะรวมพลังสามัคคีทำอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง พอมาร้องข้างบนก็โดนทัก
“นี่ ๆ ๆ สูเจ้ากำลังทำอะไร กำลังพยายามจะร้องเพลงเรอะ”
อีกรายหนึ่งร้องเพลงทุกเพลงได้หมด แต่พอร้องโครม ๆ ออกมาทีไรพรรคพวกต้องเบือนหน้าซ่อนยิ้มกันเป็นแถว
เพลงเขาแต่งมาทำนองอย่างหนึ่ง เวลาร้องแกเที่ยวไปเปลี่ยนทำนองเขาหมด
ถ้าหากคนแต่งมาได้ยินเข้ามีหวังคิดสั้น อยากผูกคอตายขึ้นมาแน่ ๆ เจ้านี่เข้าอีหรอบเดียวกับพวกร้องเพลงแล้วหลงเสียงตัวเอง
อีกรายร้องเพลงชนิดผันลิ้น ตัวควบตัวกล้ำ ตัว ร. เรือไม่ได้ แม้จะพยายามฝึกฝนอยู่ทุกวันก็ไม่สำเร็จเช่น “ถ้าฉันจะลัก (รัก) ลักคัยซักคนหนึ่ง ขอให้ฉันโชคดีที่ได้ลักเธอ”
แม้แต่เวลาพูดจาธรรมดาก็เถอะ “พี่คับตอนนี้ ผมทนสภาพชีวิตอันเหลวแหลกของผมเองไม่ได้แล้ว ผมจะต้อง ปับปุงเปี่ยนแปง ชีวิตใหม่หมด”
พวกนี้ กลุ่มนี้ ประเภทนี้นี่แหละ ที่หมดโอกาสจะร้องเพลงดีได้
แม้จะร้องเพลงถูกทำนองตัวโน้ตแล้วก็ตาม ผิดกับพวกที่มีพรสวรรค์ในน้ำเสียง แล้วมาฝึกฝนเอาความชำนาญทีหลัง
พวกนี้จะได้เปรียบมากกว่า มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
บางคนอาจจะนึกขัดข้องสงสัยขึ้นมาตอนนี้บ้างว่า ไอ้ตัวผมเองล่ะเป็นยังไง ร้องเพลงได้ดีระดับไหน ถึงได้มาคุยเรื่องเพลงเป็นคุ้งน้ำลำแควหยั่งงี้
ฮี่โธ่…..สมัยผมเรียนหนังสือวิชาเลือกพิเศษของผมน่ะเป็นวิชาขับร้องดนตรีนะขะรับ
ผมเป็นนักเรียนขับร้องดนตรีมาก่อน และผมก็เป็นคนเดียวที่อาจารย์สอนขับร้องไล่ออกจากห้อง
“เอ็งไปเรียนโบกปูนหรือเลื่อยไม้ดีกว่าเถอะว่ะ”
งานเขียนของคุณอาอำพล เจน … จากหนังสือแปลก ฉบับที่
วันที่ ………………….
——————————————————————————–