เจดีย์ชอนสารเดช ..หลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน
เจดีย์ชอนสารเดช
หลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน
วัดชอนสารเดช
กิ่งอ.หนองม่วง จ.ลพบุรี
เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านไปมีงานพุทธาภิเษกพระประธานและพระเครื่องส่วนหนึ่งของวัดป่าแสนสำราญ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดเดิมที่ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสมัยยังเป็นพระครู และตามกำหนดการของงานพิธีก็จะมีหลวงพ่อพุธมาร่วมพิธีด้วย
แต่ท่านก็ไม่ได้มา
เนื่องจากว่ายังอยู่ระหว่างการพักฟื้นสุขภาพหลังอุบัติเหตุรถคว่ำ
มีข้อสลดใจในอุบัติเหตุนั้นคือ ผู้โดยสารคนหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อคนหนึ่งได้เล่าว่า ตัวหลวงพ่อเองก็ได้ปรารภเรื่องนี้ว่า ท่านไม่ใช่พระที่มีปาฏิหาริย์อะไรเลย เพราะแม้ลูกศิษย์ท่านยังช่วยไม่ได้
คำปรารภนี้ถูกใจผมมาก
เป็นการชะลอความเหิมเกริมเรื่องขลังของวัตถุมงคลลงไปได้บ้าง
เป็นการชี้ให้เห็นสัจธรรมที่เที่ยงแท้ของพระพุทธเจ้าว่า คนเราเกิดมาแล้วย่อมมีความตายรออยู่
ถึงบทที่คนจะตายเสียแล้วอะไรก็ขวางไม่ได้
ผมเคยเห็นเคยทราบมาก่อนแล้วทั้งนั้น สารพัดหลวงพ่อหลวงปู่ที่คนแขวนในคอก็ตายพร้อมกับพระที่แขวนในคอนั่น
มันไม่มีอะไรเที่ยงจริงๆ
หลวงพ่อคูณเคยถูกถามในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นรายการของคุณสุทธิชัย หยุ่น ท่านถูกถามว่า
“ เพื่อนผมแขวนเหรียญหลวงพ่อแล้วขับรถไปคว่ำตายคาที่ ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วย”
“มันขับเร็วแค่ไหน” หลวงพ่อคูณถาม
“ราว 120 มั๊ง”คุณสุทธิชัยตอบ
“โอโฮ ตั้ง 120 เชียวเรอะ” หลวงพ่อคูณอุทาน “กูน่ะโดดลงจากรถตั้งแต่ 80 แล้วโว้ย 120 กูจะเหลือเรอะ”
บทสัมภาษณ์นี้ผมชอบที่สุด
ท่านชี้ไห้เห็นในสิ่งเดียวกันกับที่หลวงพ่อพุธชี้
อะไรที่มันเหลือวิสัยก็ไม่มีใครช่วยได้
กรรมหนักหนาสาหัสที่มันตามมาทัน ก็ไม่มีทางหลีกได้
สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม นี่คือข้อเท็จจริง
ทำให้ผมพอจะเข้าใจรำไรๆถึงคำพูดที่หลวงปู่หลวงพ่อหลายองค์มักบอกว่า “พระนี่กันตายไม่ได้นะ” บอกแล้วก็แจกให้คนละองค์
ถ้าถึงคราวตายต่อให้กอดหลวงปู่ไว้ให้แน่นก็ขาดใจตายได้
คุณแคล้ว ธนิกุลก็ตายพร้อมกับพระสมเด็จที่อมไว้ในปาก
เพื่อนของผมคือคุณคงศักดิ์ แสงทองสุข ก็ตายไปพร้อมกับพระที่แขวนในคอทั้งพวงเมื่อวันวาเลนไทน์ปีที่แล้ว โดนรถบรรทุกหิน 6 ล้อเหยียบตั้งแต่บั้นเอวไปถึงศรีษะ สร้อยคอหลุดเป็นข้อๆทั้งพระทั้งคนบี้ไปด้วยกัน
ตอนนั้นผมแทบจะขว้างพระทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
คุณคงศักดิ์มีพระกี่พวงผมรู้หมด มีหลวงพ่อหลวงปู่กี่องค์ผมก็รู้หมด
ยังต้องตาย
ภายหลังจึงทราบว่า วันเกิดเหตุวันเกิดเหตุคุณคงศักดิ์ไม่ได้เอาพระสวมคอไปตั้ง 2 พวง แต่เอาอีกพวงที่เป็นพระชุดที่อาจเสื่อมได้ถ้าผิดข้อห้ามสวมไปแทน
ปกติจะแขวน 3 พวง
2 พวงที่ไม่แขวนไปเป็นพระสายกัมมัฏฐานเป็นส่วนใหญ่
อะไรเป็นเหตุที่ทำให้ไม่เอาพระไปด้วย
ก็จะถึงคราวตายนั่นเอง
ที่เอาใส่คอไปกลับเป็นพระสายฤทธิ์ที่ยอดขลัง ถ้าปฏิบัติได้ตามข้อห้าม ถ้าปฏิบัติไม่ได้พระก็เสื่อม
ใครที่แขวนพระที่มีข้อห้าม ขอให้รักษากติกาข้อห้ามให้มั่นคงด้วย
เกี่ยวกับคนถึงที่ตายแล้วใครก็ช่วยไม่ได้ มีตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง
คงยังจำกันได้ถึงเรื่องปิตุฆาต คือลูกฆ่าพ่อที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อปีที่แล้ว
คุณนิรันดร์ เรืองกาญจนเศรษฐ ฆ่าบิดาของตนคือคุณไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ
ความจริงท่านทั้งสองที่เอ่ยถึงนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องต่อไปนี้ แต่ที่จะเกี่ยวข้องนั้นคือเฮียจง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของคุณไชยศิริและเป็นคนสนิทหรือจะเรียกว่าเป็น ทส.ของคุณไชยศิริก็ได้ เป็นผู้ที่รู้เรื่องทุกอย่างเท่ากับคุณไชยศิริรู้ คนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นใครจะรู้เท่าที่เฮียจงรู้เป็นไม่มี
เฮียจงเป็นผู้ที่มีศรัทธาในองค์หลวงปู่คำพันธ์ เป็นผู้สร้างเหรียญมหามงคลถวายวัดแก่งตอยโดยไม่หักค่าใช้จ่าย
ตอนที่เริ่มตกลงสร้างเหรียญนั้น เฮียจงก็ได้มาพบผมที่บ้าน เพื่อปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไร ผมก็แนะนำเฮียจงไปเท่าที่จะทำได้ แต่เหรียญรุ่นนั้นกลับสร้างไม่ทันตามกำหนดที่ประกาศไว้ คือช้ากว่ากำหนดเป็นปี ทำให้ผู้ที่วางเงินจองเหรียญหลายรายขอรับเงินคืน เพราะไม่แน่ใจว่าเหรียญรุ่นนี้จะสร้างจริงหรือไม่ ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าทางคณะผู้สร้างมีปัญหาอะไรจึงทำไม่เสร็จตามกำหนด
ในทีสุดเมื่อเหรียญสร้างเสร็จสมบูรณ์และนำไปถวายหลวงปู่คำพันธ์ปลุกเสกที่ วัดธาตุมหาชัย หลวงปู่ได้ปรารภกับท่านอาจารย์เวทย์ วัดแก่งตอยว่า
“คนที่เขาสร้างเหรียญให้เจ้านี้ เขาจะได้สร้างเหรียญรุ่น 2 หรือ”
อาจารย์เวทย์ก็ตกใจ กราบเรียนถามหลวงปู่ว่าจะทำอย่างไรดี ควรให้เขามาบวชจะดีหรือไม่
หลวงปู่เห็นดีด้วย
“บวชก็ดี ถือว่าหมดกรรมกันไปทางโลก”
ท่านอาจารย์เวทย์ก็เคี่ยวเข็ญให้เฮียจงบวช หาโอกาสบวชเสียเถิด เฮียจงก็ผัดผ่อนมาเรื่อยๆแต่ก็ได้นำเทียนศอกฝากท่านอาจารย์เวทย์ไป พร้อมกับวันเดือนปีเกิดของเฮียจง เพื่อให้หลวงปู่แผ่เมตตาให้ในทำนองให้ช่วยจนพ้นเคราะห์
หลวงปู่รำพึงว่า
“คนป่วยหนักขั้นโคม่า หมอช่วยได้แค่ยืดเวลาเน้อ”
เฮียจงก็มีชีวิตยืดยาวมาได้อีกปีกว่า
แล้วที่สุดก็ถูกรถชนตาย
ตายในเดือนเดียวกันกับที่คุณไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐตายและคุณนิรันดร์ เรืองกาญจนเศรษฐก็ตายด้วย
แปลกดี
เฮียจงตายก็ไม่เป็นข่าว
สมัยหลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพงยังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรงกระฉับกระเฉง ท่านบอกลูกศิษย์(ลุงเกลี้ยง อุกาพรหม)ว่าไปวัดเขื่อนกัน ไปช่วยเด็กตกน้ำ เมื่อไปถึงวัดเขื่อน ท่านสั่งให้ลูกศิษย์คอยอยู่ในเรือ โดยสั่งว่าไม่ให้ออกเรือไปไหน ใครมาเรียกก็ไม่ให้ไป ให้จอดเรือและนั่งอยู่ในเรือจนกว่าหลวงพ่อจะกลับมา ซึ่งลูกศิษย์ก็งุนงงว่าทำไมท่านจึงสั่งเช่นนั้น แต่ก็ไม่กล้าถามท่าน คงทำตามคำสั่งของท่านเท่านั้น
ต่อมาครอบครัวนายอำเภอปรีชา ณ สีลวันต์ ก็ลงมาเล่นน้ำใกล้ๆกับเรือ และเกิดอุบัติเหตุลูกและภรรยาจมน้ำลงไป แต่ก็รอดชีวิตมาได้เพราะเรือที่หลวงพ่อสั่งให้จอดรอไม่ให้ไปไหนเข้าไปช่วยจน ปลอดภัยทั้งลูกทั้งแม่
ลูกศิษย์จึงได้เข้าใจที่ท่านสั่งไม่ให้ไปไหนและบอกตั้งแต่ต้นว่าจะไปช่วยเด็กตกน้ำ
อีกครั้งหนึ่ง
หลวงพ่อชาสั่งลูกศิษย์ให้โทรเลขไปหาคุณหญิงไขศรี เป็นภรรยาของ ดร.เชาว์ ณ สีลวันต์ องคมนตรีว่า เมื่อได้รับโทรเลขแล้ว ไม่ว่าจะมีธุระอะไรที่ไหนก็ตามให้งดให้หมด และให้เดินทางไปพบหลวงพ่อที่วัดหนองป่าพงด่วน ให้เดินทางโดยรถไฟ
โทรเลขฉบับนั้นไปถึงบ้านคุณหญิงในขณะที่ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากคนรับใช้ เมื่อคุณหญิงกลับเข้าบ้าน ก็รีบออกเดินทางไปรับครูบาอาจารย์สายกัมมัฏฐานคือท่านอาจารย์วัน, อาจารย์จวน, อาจารย์สิงห์ทองเป็นต้น เข้าวังในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จ จึงไม่ได้อ่านโทรเลข ซึ่งคนรับใช้ก็คงลืมเอาให้อ่านด้วย
ต่อมาเครื่องบินก็ตก ครูบาอาจารย์มรณภาพทั้งหมดรวมทั้งคุณหญิงและผู้โดยสารอื่นๆ
ดร.เชาว์ ณ สีลวันต์ได้เดินทางไปพบหลวงพ่อชา หลังจากทราบเรื่องโทรเลขแล้ว และได้ต่อว่าหลวงพ่อว่า ในเมื่อหลวงพ่อทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณหญิงทำไมหลวงพ่อไม่บอกตรงๆ
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่บางทีครูบาอาจารย์ก็ช่วยได้บางทีก็ช่วยไม่ได้ทั้งๆที่พยายามช่วยแล้ว
ปุถุชนที่ยังรักตัวกลัวตายก็อดจะหวั่นไหวคลอนแคลนกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้
พี่ชายของผมไปตั้งโรงสีข้าวทำกิจการซื้อขายข้าวในที่กันดารแห่งหนึ่ง(ขอสงวน ชื่อ)ได้เกิดเรื่องขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพล ถึงกับส่งมือปืนมาดูตัวพี่ชายของผม ซึ่งพี่ชายของผมก็ไหวทัน หนีกลับไปอุบลฯและปรับทุกข์กับผมว่าจะทำอย่างไรดี จะหนีตลอดก็ไม่ได้ กิจการที่รับผิดชอบ คงเพียงทิ้งได้ชั่วคราวเท่านั้น จะทิ้งตลอดไปเพื่อถนอมชีวิตตนเองก็เป็นไปได้ยาก
ผมพาเขาไปหาหลวงปู่พรหมา เขมจาโร ท่านก็ให้พระและสั่งว่า ถ้าเขายิงเราก็ไม่ต้องตอบโต้ ทำเฉยๆไว้ แต่อย่าให้เขาจับตัวเราได้ ถ้าจำเป็นก็ต้องวิ่งหนี
ผมพาเขาไปหาหลวงปู่คำพันธ์และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังท่านก็ว่า
“ต้องคิดอย่างนี้ เขายิงเรา เราก็ตาย เขาไม่ยิงเรา เราก็ตาย”
แต่ผมก็จัดพระให้พี่ผมแขวนพวงหนึ่ง มีของหลวงปู่คำพันธ์ หลวงปู่พรหมาและหลวงพ่อชาและขอร้องเขาว่าต้องแขวนตลอด นอนก็ไม่ให้ถอด เข้าส้วมก็ไม่ให้ถอด
หลายเดือนต่อมาจนเรื่องเงียบหายไปแล้ว พี่ผมก็กลับมาอุบลฯอีกครั้งหนึ่งและถามผมว่า
“อำพลลองฟังดูสิว่ามันแปลว่าอะไร มันให้คนมาถามภรรยาพี่ว่า พี่มีของดีอะไร”
“ไม่เห็นจะต้องแปลให้ยากเลย มันก็ล่อพี่เข้าแล้วน่ะซี เพียงแต่พี่ไม่รู้เรื่องเท่านั้น”
ถึงแม้ว่าจะมีคนแขวนพระแล้วตายคาที่พร้อมพระ ก็ย่อมมีคนรอดตายเพราะพระอยู่ด้วย
อย่าท้อแท้เลยครับ
ระหว่างแขวนพระแล้วตายกับไม่แขวนพระแล้วตาย ผมยังเลือกแขวนพระแล้วตายดีกว่า
แต่แขวนพระแล้วอย่าเหิมเกริมประมาทว่ามีพระดีพระแน่ก็แล้วกัน
ทำปอดตัวเองให้แหกกันเข้าไว้แหละครับจะปลอดภัยดีกว่าทำใจกล้าไม่กลัวใคร
ที่คุยเรื่องเหล่านี้มาทั้งหมดผมก็ไม่แน่ใจว่าจะคุยถึงเรื่องอะไร คุยทำไม คงจะเป็นแต่เพียงรำพึงรำพันมาโดยไม่มีจุดหมายแน่ชัด
ขออภัยด้วยถ้าอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง
ถือเสียว่าผมชักจะเป็นนักเขียนเก่งเข้าแล้วเพราะว่าเริ่มเขียนอะไรที่คนอ่านไม่รู้เรื่อง
นักเขียนเก่งๆมักเป็นอย่างนี้ว่าอย่างนั้นเถิด
คือขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อนพอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา
ต่อไปจะเป็นมะลิลาล่ะครับ…. เป็นมะลิลาที่ไม่รู้ว่ามะลิซ้อนแต่แรกจะทำให้สั่นสะเทือนหรือไม่
—
บรรยายภาพ :หลวงปู่กำลังพิจารณาเจดีย์ชอนสารเดชอยู่ในมือ
—–
ดังที่เคยกล่าวถึงไปบ้างเมื่อนานเดือนมาแล้วว่ากำลังดำเนินการจัดสร้างรูป เจดีย์เพื่อจะให้หลวงปู่เปลี้ยเป็นองค์ปลุกเสก บัดนี้เสร็จแล้วครับ
เจดีย์ชอนสารเดชนี้เกิดขึ้นก็ด้วยแรงบันดาลใจจากเจดีย์หลวงพ่อชาปี 2517 ที่นักเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศสร้างถวาย คือในวันปลุกเสกฤษีชอนสารเดช ผมแขวนเจดีย์หลวงพ่อชาไปด้วย ทั้งอาจารย์เบิ้มและคุณพิชย จารุทัศนางกูร ต่างก็ได้เห็นและเกิดประทับใจอะไรไม่ทราบ ได้ตกลงว่าจะทำเจดีย์อย่างนี้เป็นของหลวงปู่เปลี้ยบ้าง ผมก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะว่าไม่พบเห็นใครทำแบบนี้มาก่อน นอกจากของหลวงพ่อชาเท่านั้น จึงกราบเรียนขออนุญาตหลวงปู่ในวันนั้น และท่านก็เห็นดีเห็นงามด้วยอีกคน
คุณพิชย จารุทัศนางกูร จึงรับเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างทั้งหมด และให้ผมเป็นผู้อุดผงในองค์เจดีย์นั้น
ผงที่ใช้อุดก็เป็นผงชุดฤษีอริยะธาตุกับฤษีชอนสารเดชเป็นหลัก โดยเพิ่มเติมข้าวก้นบาตรที่เสกแล้วของหลวงปู่เปลี้ยฝังให้เห็นเป็นเม็ดๆ ฝังจีวรและหญ้าคาที่เป็นไม้พรมน้ำมนต์ของหลวงปู่เปลี้ยโดยเลือกเอาหญ้าคาอัน ที่เกิดแสงประหลาดในภาพถ่ายที่เคยลงตีพิมพ์ไปแล้ว
หญ้าคาพรมน้ำมนต์อันที่อยู่ในรูปนั้นแหละครับ
หลวงปู่เปลี้ยท่านยังหัวเราะชอบใจอุทานว่า ฉลาดเลือกของดี
นอกจากนี้ยังบรรจุเกษาของหลวงปู่เปลี้ยทุกองค์ด้วย
ภาพประกอบเอื้อเฟื้อโดย ชูชก รับทรัพย์
เจดีย์ชอนสารเดชสร้าง 2 เนื้อคือ เนื้อทองเหลือง 980 องค์ เนื้อเงิน 100 องค์ เฉพาะเนื้อเงินได้ฝังตะกรุดอีกด้วย 1 ดอก
หลวงปู่เปลี้ยได้ทำการปลุกเสกให้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 คุณพิชยได้มอบเจดีย์ชอนสารเดชไว้ที่ผมจำนวนหนึ่ง ผมไม่ได้นับว่าเนื้อทองเหลืองมีจำนวนเท่าไหร่ คงนับแต่เนื้อเงินว่ามีจำนวนเล็กน้อยเพียง 14 องค์ ซึ่งคงไม่พอให้แก่ผู้ต้องการได้ครบ ส่วนเนื้อทองเหลืองน่าจะได้กันครบ คะเนว่าอยู่ที่ผมไม่น้อยกว่า 600 องค์
เงินทั้งหมดที่ได้รับหลังการจำหน่ายแล้วจะส่งมอบไปรวบรวมไว้ที่คุณพิชยเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการกุศลของวัดต่อไป
ภาพประกอบจาก web-pra.com
เจดีย์ชอนสารเดชถือเป็นเจดีย์รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่มีการสร้างขึ้นในนามหลวงปู่เปลี้ยในขณะนี้ เป็นของเพื่อการสะสมอีกแบบ
ผมไม่กล้าคุยว่าขลังขนาดไหน
เพิ่งปลงตั้งแต่ตอนที่เป็นมะลิซ้อนมาหยกๆ
ใครยังไม่ปลง หรือปลงไม่ตก ก็เชิญตามศรัทธาไม่ขัด
เจดีย์ชอนสารเดชที่วัดของหลวงปูเปลี้ยคงจะไม่มีให้บูชา เพราะคุณพิชยถวายไว้เพียงเล็กน้อยซึ่งผมก็เห็นหลวงปู่เอาออกมาแจกในตอนเช้า วันที่ 5 กุมภาพันธ์เป็นประเดิมทันที ป่านนี้แจกหมดแล้วก็ไม่รู้
อย่าไปลุ้นที่วัดเพราะว่าจะลุ้นไม่ขึ้น
และอย่าลุ้นว่าเจดีย์ชอนสารเดชนี้ปืนจะแตกหรือไม่แตก
ไม่มีใครรับรองหรอกครับ
หลวงปู่เปลี้ยเองก็ไม่รับรอง
“ฉันมีหน้าที่เสก ส่วนจะขลังหรือไม่ขลังฉันไม่รู้”
ใครจะหาใบรับรองว่าเจดีย์รุ่นนี้จะขลังหรือไม่ขลังเห็นจะหาไม่ได้
Don’t accept good enough as good enough.
“อย่าหวังว่าดีพอนั้นจะดีพอแล้ว”
นี่ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่ดีที่สุดสำหรับหลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน
หลวงปู่ปืนแตกผู้ถ่อมตัว
————————————————————————————————