คนขี้เกรงใจ
ในบรรดาปราสาทหินทั้งหลายที่นับว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็คือนครวัต และนอกจากนครวัตแล้ว ก็เห็นจะเป็นปราสาทหินเขาพระวิหารนี่แหละที่บอกว่าเป็นของ มหัศจรรย์ได้อีกหนึ่งสิ่ง
นครวัตใหญ่โตมโหฬาร จนเหลือเชื่อในความเพียรที่แสนสามารถในการสร้าง จนได้ ขนาดนั้น แต่เขาพระวิหารคือสิ่งที่จะต้องเหลือเชื่อในฝีมือมนุษย์ธรรมดาซึ่งสามารถ สร้างขึ้นได้ในทำเลอันยากลำบากอย่างนั้น
ปราสาทหินเขาพระวิหาร ตั้งอยู่บนแนวเขาบรรทัดตรงยอดสูงที่สุด โดยด้านหนึ่งเป็นเหวลึก ซึ่งทำให้มองต้นไม้ใหญ่ ๆ แบบย่อส่วนลงเท่าต้นหญ้าได้
คนแข็งแรงไปชะโงกหน้าดู ก็จะกลายเป็นคนขาไม่มีแรงได้ว่างั้นเถอะ
นักโบราณคดีบอกว่า ปราสาทหินเขาพระวิหารสร้างโดย พระเจ้าสุริยะวรมันที่ ๑ ยุคสมัยที่สร้างก็ตกราว ๆ ตอนกลางศตวรรษที่ ๑๐ แห่งมหาศักราช คงจะพอประมาณได้ว่าอยู่ใน พ.ศ. ๑๕๘๒ ถึงตอนนี้ก็ใกล้จะมีอายุครบพันปีเข้าแล้ว
ถ้าเป็นคนก็จะเป็นคนแก่ที่น่าเกรงขาม และยังแก่กว่านครวัตอีกตั้งหลายปี เพราะนครวัตนั้นสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ ๒ หลังปราสาทหินเขาพระวิหาร ๑ ชั่วคน
มีข้อสังเกตที่น่าแปลกใจสำหรับเขาพระวิหารก็คือ หินที่ใช้สร้างปราสาทกับบันไดนั้น ไม่ใช่ชนิดเดียวกัน หินที่ใช้สร้างปราสาทและเสาเทียนมีลักษณะคล้ายคอนกรีตเป็น อันมาก จนทำให้เผลอนึกไปว่า ชาวขอมในสมัยนั้นมีปูนซีเมนต์ใช้กันแล้วเพราะดูเหมือนปราสาทคอนกรีตจริง ๆ
ปราสาทหินเขาพระวิหารมีปราสาทใหญ่น้อยรวมกันในนั้น ๗ หลังโดยเฉพาะหลังที่ ๗ ตั้งอยู่บนเงื้อมผาที่ยื่นออกไปชิดกับเหว และมีลานหินใหญ่เรียกว่า “เป้ยตาดี” คำว่า “เป้ย” เป็นภาษาเขมรหมายถึง “ที่สูง” ส่วนตาดีก็ต้องเดาว่าเป็นชื่อคน
จากเป้ยตาดีนี้สามารถนั่งนอนเดินเล่นได้สบายสบาย มีลมพัดแรงและสามารถใช้เป็นที่ชมภูมิทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นประเทศกัมพูชา ได้สะดวกมาก
ต้นไม้ใหญ่กลายเป็นต้นหญ้า ก็ดูได้จากตรงนี้แหละครับ
ถ้ามีกล้องส่องทางไกลก็จะสามารถมองเห็นลำน้ำโขง เห็นเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และนครวัตอีกด้วย
ปราสาทหินเขาพระวิหาร น่าจะเป็นของไทย แต่ทำไมกลายเป็นของเขมร
เมื่อเดือนมกราคม ๒๔๗๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงปรารถนา จะสอบสถานโบราณแห่งนี้ จึงทรงขอร้องรัฐบาลฝรั่งเศส ให้ช่วยส่งผู้เชี่ยวชาญทางนครวัต มาถวายความรู้ความเห็นในเวลาเสด็จทอดพระเนตร
โดยเหตุที่ประสาทหินเขาพระวิหารอยู่ชิดพรมแดน ฝรั่งเศสก็เลยฉวยโอกาสมาตั้งปะรำทหาร อยู่เชิงเขาพระวิหาร และยกเอาพระดำรัสร้องขอของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นคำรับรองว่าเขาพระวิหารเป็นของฝรั่งเศส
จริง ๆ แล้วถ้าถือหลักเกณฑ์ในการปักปันเขตแดน ก็ต้องเอาสันเขาผีปันน้ำเป็นหลัก ดังนั้นเขาพระวิหารจะต้องอยู่ในเขตไทย เป็นของไทยอีกอย่างหนึ่ง ทางขึ้นลงปราสาทก็อยู่ในเขตไทย ไม่มีทางขึ้นลงจากเขตประเทศเขมรเลย เพราะว่าเป็นหน้าผาสูงชัน
เรียกว่าถ้าเขมรจะขึ้นลงเขา พระวิหารต้องใช้บันไดลิงลูกเดียว
รัฐบาลไทยยึดถือ หลักเกณฑ์ในการปักปันเขตแดนก็อยากจะพิจารณาทำความตกลงกับฝ่ายเขมร ให้แน่ชัดด้วยอัชฌาสัยไมตรี แต่เขมรไม่ยอมเลยเป็นเหตุให้ปราสาทหินเขาพระวิหารชำรุดทรุดโทรมเรื่อยมา
พอเดือนตุลาคม ๒๔๘๓ กรมศิลปากรก็ทนดูโบราณสถานแห่งนี้ร่วงโรยไม่ไหว ซึ่งการที่จะนั่งดูของมีคุณค่าแต่โบราณล้มหายไปต่อหน้านั้น มันออกจะผิดหลักของชาติที่มีอารยธรรมว่างั้นเถิด
รัฐบาลไทยก็เลยลงมือจะครอบครองเขาพระวิหารให้เป็นการเด็ดขาดเสียที โดยออกประกาศเข้าคุ้มครองโดยเปิดเผยเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๘๓ แล้วลงมือบูรณะปฏิสังขรณ์เท่าที่จะทำได้ก่อนในขณะนั้น
พอถึงเดือนตุลาคม ๒๕๐๒ เขมรก็ดอดไปฟ้องศาลโลก ณ กรุงเฮก ขอให้ศาลวินิจฉัย และให้ไทยถอนกำลังทหารออกไปจากบริเวณเขาพระวิหาร
วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ ศาลโลกตัดสินว่า ปราสาทหินเขาพระวิหารเป็นของเขมร โดยอ้างว่าฝ่ายไทยเพิกเฉยมิได้ประท้วงแผนที่ฉบับหนึ่งของฝรั่งเศส ซึ่งส่งมาให้รัฐบาลไทยใน พ.ศ.๒๔๔๗ (ค.ส. ๑๙๐๗) ซึ่งแผนที่ฉบับ นั้นแสดงเครื่องหมายว่าเขาพระวิหารอยู่ในเขมร
(ตำรวจตระเวนชายแดนกำลังทำพิธีเชิญเสาธงบนยอดเขาพระวิหาร พร้อมกับธงไทยออกจากบริเวณปราสาทพระวิหารเมื่อ ๑๒:๐๐ น. วันที่ ๑๕ ก.ค. ๒๕๐๕)
คงต้องบอกว่า เราเสียเขาพระวิหารไป เพราะเราทำเฉยไปทีหนึ่งและนั่นก็คงจะเพราะเราเป็นคนขี้เกรงใจ
เมื่อปีที่แล้ว มาเลเซียก่อกำแพงเขตแดนล้ำเข้ามาในเขตไทย ตั้งหลายกิโลเมตร เราแสดงท่าทีเกรงใจหรือเปล่า และทำเฉยหรือไม่
ล่าสุดที่กำลังเป็นเรื่องอยู่ในขณะนี้ที่บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการจังหวัดพิษณุโลก ต่างตรึงกำลังกันไปตรึงกำลังมา
ไม่รู้เรายังเกรงใจ ไอ้น้องลาวอยู่อีกหรือเปล่า
พูดอย่างงี้แล้ว ขอปฏิเสธนะครับว่าผมไม่ได้พูด แต่เลือดรักชาติ ซึ่งเป็นเลือดส่วนรวมที่มีอยู่ในตัวผมหยดหนึ่ง มันพูดไปเอง
……………………………………..
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารแปลก ฉบับที่ 622 วันที่ 26 มกราคม 2531