หลวงพ่อพิบูลย์ – ตอนที่ 1 –
หลวงพ่อพิบูลย์(ไม่ทราบฉายา) มีนามเดิมว่า พิบูลย์ แซ่ตัน เกิดที่บ้านพระเจ้า ตำบลมะอึ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีชื่อใหม่ว่า ตำบลพระเจ้า อยู่ในอำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด วันเกิดและเดือนเกิดไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเกิดปี พ.ศ. 2354 มีบิดาชื่อสา กับมารดาชื่อโสภา มีอาชีพเป็นชาวนาและประกอบการค้าไปด้วย
พิจารณาจากนามสกุลของหลวงพ่อพิบูลย์แล้ว เข้าใจว่าท่านจะสืบเชื้อสายมาจากชาวญวน ผมมีเพื่อนชาวญวนที่มีนามสกุลเดียวกันนี้อยู่คนหนึ่ง แต่สืบสวนแล้วไม่รู้จักหรือมีอะไรพาดพิงไปถึงหลวงพ่อพิบูลย์แม้แต่น้อย คนสกุลแซ่ตันในเมืองอุบลฯก็มีอยู่มากมาย จึงทำให้คล้อยเชื่อว่าท่านควรจะเป็นชาวญวนด้วยเหมือนกัน
ถึงอย่างไรท่านก็ถือสัญชาติไทยอย่างแน่ชัด เนื่องจากว่าท่านได้เข้ารับราชการทหารอยู่หลายปี และก็มีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่หลายปีเช่นกัน เสียแต่ไม่ทราบชื่อและฐานะของภรรยาของท่าน
หลวงพ่อพิบูลย์สมัยครองเรือน ไม่มีบุตรธิดา แต่ขอธิดาของนายจันทีเพื่อนบ้านมาเป็นลูกบุญธรรม และเลี้ยงดูจนเติบใหญ่เป็นสาวออกเรือนแต่งงานกับชายที่มีศักดิ์และฐานะใกล้ เคียงกัน
ความข้อนี้แสดงว่าหลวงพ่อในสมัยเป็นฆราวาสนั้นออกจะมีฐานะดีไม่น้อย
เมื่อมีฐานะดีแล้วมาบวกกับจิตใจของคนที่ต่อไปจะได้บวชเป็นพระก็เลยออกมาเป็นคนชอบทำบุญทำทาน และบริจาคเพื่อส่วนรวมจนเป็นปกติวิสัย
ว่างๆก็ไปวัดฟังธรรม
ฟังจนนิสัยปัจจัยทางพระงอกเงยเต็มหัวใจ
วันหนึ่งได้เรียกภรรยามาปรึกษาอย่างจริงจังว่าอยากจะออกบวช ชีวิตฆราวาสพอสมควรแล้ว ลูกสาวกับลูกเขยก็อยู่กันอย่างเป็นสุขแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องห่วง ภรรยาเห็นว่าสามีจะบวชคนเดียวก็กระไรอยู่ ตนเองจะบวชมั่ง ถือศีลแปดก็เอา ลูกสาวกับลูกเขยก็ไม่ขัดข้อง ไม่คิดจะขวางทางพระนิพพานของพ่อและแม่
ตกลงก็ออกบวชทั้งคู่ไม่ได้บวชที่เดียวกัน ต่างคนต่างบวชกันไปคนละทิศ
เหมือนจะหวังผลในพระนิพพานจริงๆ
เมื่อจะขาดสิ้นทางโลกแล้วก็ต้องให้ขาดสะบั้นในทางธรรม
ทรัพย์สินทั้งหมดยกให้ลูกสาวกับลูกเขย
เป็นอันหมดห่วงในทางโลก
ตอนที่หลวงพ่อพิบูลย์ออกบวชนั้นมีอายุได้ 45 ปี ก็จะตกประมาณพ.ศ. 2399 ไม่ปรากฏสำนักที่บวช ไม่ทราบพระอุปัชฌาย์ พอบวชได้หนึ่งพรรษาก็ออกธุดงค์ ข้ามแม่น้ำโขงไปประเทศลาว เดินตรงไปภูอากและภูเขาควาย แล้วบำเพ็ญสมณธรรมอยู่แถวนั้นหลายพรรษา
เกี่ยวกับการออกบวชของหลวงพ่อพิบูลย์ ทำให้นึกถึงหลวงพ่อพรหม จิรปุญโญ ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่นที่ออกบวชคล้ายกันคือ ท่านมีฐานะดีอยู่แล้วในทางโลก และได้สละทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่นจนหมดสิ้น จึงค่อยออกบวชพร้อมกับภรรยา แต่ว่าหลวงปู่พรหมให้ภรรยาบวชชีก่อน 1 ปี ท่านจึงบวชตามทีหลัง
ในขณะที่บวชมีอายุ 37 ปี ได้ใช้ชีวิตทางโลกมาอย่างช่ำชองเหมือนหลวงพ่อพิบูลย์
ผิดแต่ยุคสมัยที่บวชนั้นห่างกัน 70 ปี
หลวงพ่อพิบูลย์จวนจะมรณภาพแล้วนั่นแหละ หลวงปู่พรหมจึงได้บวช
บางทีหลวงปู่พรหมอาจจะได้แบบอย่างจากหลวงพ่อพิบูลย์ก็ได้ใครจะรู้
เป็นคนจังหวัดเดียวกันอีกต่างหาก
ระหว่างที่หลวงพ่อพิบูลย์พำนักอยู่ภูเขาควาย ท่านได้พบอาจารย์องค์สำคัญในชีวิตของท่านโดยบังเอิญ และอาจารย์องค์นี้ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคม และแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติให้หลวงพ่อพิบูลย์ยึดถือต่อมาจนตลอดชีวิต
หลวงพ่อพิบูลย์เรียกชื่ออาจารย์ของท่านว่า “ พระอาจารย์วิเศษ”ผู้มีไม้เท้าหนักหมื่น
หมี่น เป็นมาตราชั่งตวงวัด แบบเทียบเท่า 12 กิโลกรัมลาว
รายละเอียดเกี่ยวกับพระอาจารย์วิเศษ ไม่มีกล่าวถึง ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครดูไปแล้วก็เป็นเช่นเดียวกับที่เคยได้ยินใครๆกล่าวถึง พระแปลกๆลึกลับบนภูเขาควายหลายรูป หลายวาระ ทำให้นึกเชื่อว่าภูเขาควายคงจะเป็นสถานที่แห่งหนึ่งบนโลกอันสับสนวุ่นวายนี้ ที่เป็นแหล่งชุมนุมยอดวิทยายุทธ์ ผู้เร้นกายอันลี้ลับในผาถ้ำกับผืนป่าดงดิบอันยิ่งใหญ่
มิน่าเล่า ใครๆพออกบวชแล้วก็มักจะเดินขึ้นภูเขาควายกันทั้งนั้น
ขึ้นไปแล้วหายสาบสูญก็เยอะ
กลับออกมาก็มาก
เฉพาะที่กลับออกมาก็เห็นว่าเป็นยอดคนทั้งนั้น
ใครอยากเห็นภูเขาควายให้ไปที่ริมแม่น้ำโขงตรงวัดอาฮง ในเขตอำเภอบึงกาฬต่อกับอำเภอปากคาด ภูเขาควายเริ่มต้นจากตรงนั้น
“ภูเขาควาย” เป็นการเรียกเทือกเขาทั้งเทือก ไม่ใช่เรียกแค่ภูเขาลูกเดียว
ดังนั้นเมื่อพูดว่าขึ้นไปภูเขาควาย ก็ยากจะรู้ว่าไปตรงไหน หรือส่วนไหนของภูเขาควาย
สมัยก่อนภูเขาควายเกือบทั้งหมดมีสภาพเป็นป่าดงดิบ กว้างใหญ่ไพศาล บางแห่งมองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน คือมืดอยู่ในเงาป่าตลอดวันและคืน มีสถานที่ลึกลับแปลกประหลาดที่ยังไม่มีใครสำรวจ กระทั่งตัวประหลาดแบบในเทพนิยายก็ยังมีคนเคยเห็น
ตัวเป็นคนแต่มีขาคล้ายๆขาไก่
ไม่รู้โม้หรือเปล่า
คนที่เล่าเรื่องเห็นตัวประหลาดนี้เป็นอดีตนายร้อยเอกของกองทหารลาดตระเวนลาว เล่าว่าเห็นจากกล้องส่องทางไกล พอเข้าไปใกล้ก็วิ่งหนีหายไปหมด ขณะที่เห็นนั้นเห็นเป็นกลุ่มอยู่ประมาณ 7 ตัว
หรือนี่จะเป็นป่าหิมพานต์ก็ไม่รู้
ตัวประหลาดที่เขาเล่าว่าเห็นก็ฟังดูคล้ายๆกินรีทำนองนั้น
เมื่อพูดถึงตัวประหลาดในป่าเมืองลาว จะพบว่ามีเล่าอยู่บ่อยๆในประวัติครูบาอาจารย์ต่างๆที่เคยธุดงค์อยู่ในเมือง ลาวอย่างเช่นหลวงปู่กิ วัดสนามชัย อ. พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นคนลาวแท้ๆ ก็เล่าว่าเคยเห็นตัวประหลาดตัวหนึ่งเรียกว่า “ตะแข่” มีรูปร่างเหมือนลิงใหญ่ แต่ไม่มีหัวเข่า ถ้ายืนอยู่ก็วิ่งได้ ถ้าล้มลงจะลุกขึ้นไม่ได้ต้องกลิ้งตัวไป เมื่อจะลุกต้องอาศัยมือโหนต้นไม้พยุงตัวขึ้น
ตัวตะแข่นี้หลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร จ. อุดรธานี ซึ่งเคยอยู่ปฏิบัติธรรมกับสำเร็จลุนก็เล่าไว้ตรงกัน
ตัวประหลาดที่แก่งหลี่ผีก็มี
หัวเป็นปลาตัวเป็นคน
ตัวเมียจะมีนมเหมือนนมผู้หญิงไม่มีผิด
ตัวประหลาดนี้จะปรากฏตัวเป็นบางฤดูที่แก่งหลี่ผี หรือน้ำตกหลี่ผี จะมาเล่นน้ำตกโดยแหวกว่ายและกระโดดโลดเต้นแถวใต้แก่งน้ำที่มีกระแสเขี่ยวก ราก
เรื่องนี้เขาเล่าให้ฟังบ่อยๆจะจริงเท็จอย่างไรยังบอกไม่ได้
มีบางท่านอธิบายว่าตัวประหลาดนี้ก็คือปลาโลมาน้ำจืด ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นตัวเดียวกันหรือไม่
ผมเคยไปน้ำตกหลี่ผีเมื่อปลายปี 2541 ไม่ทราบว่าตัวประหลาดนี้จะปรากฏตัวบริเวณไหน เพราะว่าน้ำตกหลี่ผีนั้นใหญ่มาก
เห็นแล้วกลัว
ไม่เห็นว่าเป็นน้ำตกสวยงาม
สำหรับผมแล้วนั่งชมน้ำตกหลี่ผีไป หัวใจก็เต้นกระเส่าตึกๆตักๆบอกไม่ถูก นึกแต่ว่าถ้าหล่นลงไป หลวงพ่อหลวงปู่องค์ไหนก็ช่วยไม่ได้
น่ากลัวจริงๆครับ
เพียงแค่หลี่ผียังเท่านี้แล้วภูเขาควายจะเป็นอย่างไร
ทุกวันนี้ได้ยินว่ารัฐบาลลาวไปสร้างแดนสวรรค์ที่ภูเขาควาย คือแหล่งการพนันขนาดใหญ่คล้ายลาสเวกัส แต่สภาพป่าบนภูเขาควายก็ยังสมบูรณ์ดีอยู่ ส่วนจะยังลึกลับแค่ไหนนั้นยังบอกไม่ได้อีกเหมือนกัน
——————————————-~@~——————————————-
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 558 วันที่ 1 เมษายน 2549
——————————————-~@~——————————————-