7/ นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล
มีผู้สงสัยถามกันมากว่าทำไมจึงต้องสร้างรูปพญานาค
บังเอิญผมก็เป็นคนหูตึงมาแต่อ้อนแต่ออก เลยไม่ได้ยิน ไม่ได้ตอบคำถามนี้เสียแต่แรก
ในที่สุดคำถามดังกระหึ่มขึ้น จนจะอ้างว่าหูหนวกหูตึงเห็นจะไม่ได้
แต่ก็แปลก
ยังไม่ได้บอกถึงเหตุในการสร้างรูปพญานาคนี้ พญานาคก็จวนจะหมดแล้ว
จำนวนสร้าง 3,000 องค์ เหลืออยู่ราว ๆ 600 องค์เท่านั้น
เรียกว่าแม้จะไม่บอกอะไรถึงที่มาที่ไป พญานาคคงจะหมดไปได้ในเร็ว ๆ นี้
ต้องขอบคุณทุกคนที่เชื่อถือศรัทธาโดยไม่มีความเคลือบแครงระแวงสงสัย
ในการสร้างวัตถุมงคลทุกครั้งหรือทุกโอกาส โดยมากจะมีวัตถุประสงค์เหมือนกันคือ จะหาปัจจัย
เมื่อได้ปัจจัยแล้ว ปัจจัยนั้นจะเอาไปทำอะไร
ถ้าบอกว่าจะเอาปัจจับไปซื้อเบียร์กัน คนก็คงไม่มีใครยอมควักสตางค์บริจาคหรือเช่าซื้อวัตถุมงคลนั้นอย่างแน่นอน
บ้านเมืองเรามีคนใจบุญอยู่มาก
บุญ แปลว่า ดี
จะพูดว่าใจดีก็ได้
แต่จะหาคนใจดี ยอมให้เงินคนอื่นไปซ้อเหล้ากินหรือดาวน์รถสักคันไม่มีหรอกครับ
จึงจะเรียนให้ทราบว่า ปัจจัยทั้งหมดที่ได้มาแล้วนั้นเอาไปใช้อะไรแล้วบ้าง
ส่วนหนึ่งร่วมสมทบทุนสร้างกุฏิถวายหลวงปู่สังข์ ฐิตธัมโม วัดบ้านท่าช้างใหญ่ และสร้างเสร็จไปแล้ว
อีกส่วนคือ กำลังสร้างศาลาการเปรียญ หรือศาลาเอนกประสงค์ไว้ในที่พักสงฆ์สภาบุญ ซึ่งคงจะเสร็จในเร็ววันนี้
ที่เหลือเข้าไปร่วมสร้างพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ทูล ขิปปปัญโญ วัดป่าบ้านค้อ จังหวัดอุดรธานี โดยผ่านมูลนิธิหลวงปู่ทูล
ส่วนที่เหลือคือส่วนที่ยังไม่ได้จำหน่ายจะเป็นของมูลนิธิสภาบุญเอง
เมื่อตั้งวัตถุประสงค์ในการสร้างวัตถุมงคลไว้อย่างนี้จะพูดได้ว่าบรรลุวัตถุประสงค์อย่างเต็มปาก
เวลาจะพูดให้ยืดอกผึ่ง ๆ เอาไว้ โดยไม่ต้องเกรงใจใคร
ถึงหนี้ที่ไปยืมเขามาสร้างก่อนจะท่วมหัวโดยที่ยังชดใช้ไม่หมดก็รู้สึกสบาย
จริง ๆ แล้ววัตถุประสงค์ที่มีเพื่อจะหาปัจจัยนั้น เมื่อคิดให้ดีแล้วจะเห็นว่ามีความโลภแฝงอยู่
ความโลภที่มีนั้นเป็นโลภฝ่ายมี
แต่ถ้าจะโลภบ่อย ๆ โลภกันทุกวัน คือสร้างตะพึดตะพือคงจะไม่ดีแน่
จึงอยากจะบอกว่าที่สร้างรูปพญานาคขึ้นมานี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการคิดแปลกแหวกตลาด เผื่อสนองความโลภจะเอาปัจจัยแต่ประการใด
มีเหตุครับ
ถ้าจะรู้จักเหตุที่แท้จริงแล้ว จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ที่จะหาปัจจัยนั้นเป็นเรื่องรองลงไป
ผมเคยพูดบ่อยๆว่า การสร้างวัตถุมงคลนั้น ผมหวังแค่จะได้ยินข่าวว่า วัตถุมงคลที่สร้างได้ช่วยชีวิตคนหรือช่วยให้คนผ่านพ้นอุปสรรคอันตราย แม้แค่คนเดียวผมก็ดีใจแล้ว
ในการสร้างรูปพญานาคนี้ก็เช่นกัน
หวังจะได้เห็นพญานาคออกไปช่วยคนให้พ้นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ตามคำพยากรณ์ของเจ้าหลวงราชครูโพนสะเม็กหรือพระครูขี้หอม และหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย
พระครูขี้หอมบอกว่า ปี 2555 จะเกิดวิกฤติในประเทศไทยจนถึงขั้นประเทศไทยจะตกต่ำกว่าเมืองลาว
พยากรณ์นี้ปรากฏอยู่ในหนังสือก้อม โบราณ์ จดสืบทอดต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย
บางวัดยังเก็บรักษาหนังสือนี้ไว้ ผู้สนใจพอจะสามารถค้นคว้าได้
ส่วนหนึ่งของพยากรณ์ที่กล่าวไว้ในรูปของผญาโบราณอีสาน มีใจความดังนี้
“เวียงจันทน์ร้างคือกับโพนขี้หมาจอกบาดห่าบางกอกร้างมันสิร้ายกว่าเวียง”
เวียงจันทน์ร้างก็คือภาวะตกต่ำย่ำแย่ของเมืองลาว ซึ่งน่าจะผ่านพ้นตรงนั้นมาแล้ว ดังนั้นเมืองลาวในวันนี้กำลังรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ
ครั้นถึงเวลาที่บางกอกร้างหรือประเทศไทยประสพวิกฤติเข้าบ้างจะย่ำแย่กว่าเวียงจันทน์ตอนนั้น
พยากรณ์ไม่ได้ชี้ชัดว่าจะย่ำแย่ตกต่ำในแง่มุมไหน
ผมก็ยังคิดไม่ออกจะเป็นวิกฤติอะไรหรือตกต่ำกว่าเมืองลาวด้วยเหตุอันใด
จะเกี่ยวข้องกับพยากรณ์นี้หรือไม่ผมยังไม่แน่ใจ
หลวงปู่คำพันธ์สั่งไว้ก่อนมรณภาพว่า เมื่อหลวงปู่ละสังขารไปแล้ว 3 ปี เค้าของความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏให้เห็น ขอให้สังเกตดูให้ดี จะเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะนี้จวนครบ 3 ปี แล้วครับ
มีใครเห็นอะไรกันบ้าง
ผมรับว่ายังไม่เห็น
คนหูหนาปัญญาทึบแบบผมนี่ มักจะรู้จะเห็นอะไรทีหลังเขาอื่นเสมอ
ถ้าใครเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่คำพันธ์อย่างแท้จริง ย่อมได้ยินหลวงปู่พูดกรอกหูอยู่บ่อย ๆ
ปฐวีธาตุที่หลวงปู่ทำขึ้นก็เพื่อรับมือกับวิกฤติในอนาคตนี้
ท่านกล่าวว่า เมื่อถึงเวลานั้น พญานาคจะออกมาช่วยคน
ปฐวีธาตุของหลวงปู่คือสื่อที่จะสื่อถึงพญานาค
ในการเกิดรูปพญานาคนี้ เกิดด้วยเหตุเดียวกันคือ หวังจะให้รูปพญานาคนี้เป็นสื่อถึงเหล่าพญานาคทั้งหลายที่หลวงปู่บอกว่า พวกเขาจะออกมาเมื่อถึงเวลาวิกฤตินั้น
ทำไมหลวงปู่คำพันธ์ไม่ทำรูปพญานาคนี้เสียเองแต่สมัยยังมีชีวิต
เรื่องนี้ไม่ทราบ
แต่ท่านได้ถ่ายทอดกระบวนการทำรูปพญานาคนี้ไว้กับท่านเดชโอภาส ซึ่งท่านว่าคน ๆ นี้จะเป็นผู้ทำขึ้นเองในภายหลัง
กระบวนการนี้มีความเป็นมาอย่างไร
ใจเย็น ๆ ครับ
กำลังจะเล่าให้ฟัง
ผมได้ขอให้ท่านเดชโอภาสเขียนถึงเรื่องนี้แต่พอย่อ ๆ เป็นแนวทาง และได้นำข้อเขียนเชิงบันทึกสั้นมาลงให้อ่านกัน
เดชโอภาสเป็นแค่ชื่อสมมติ เพื่อจะปกปิดตัวตนจริง ๆ ของท่านผู้นี้เอาไว้ก่อน
คงจะปิดไม่มิดเฉพาะกับผู้ที่ติดตามข้อเขียนของผมมาโดยตลอด
ย่อมจะเดาออกในที่สุดว่า เดชโอภาสนี้คือใคร
เชิญอ่าน
“เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2540 อยู่ในช่วงก่อนเข้าพรรษา น่าจะเป็นเดือนมิถุนายน พระเดชพระคุณหลวงปู่คำพันธ์ได้ส่งข่าวมาหาข้าพเจ้าที่วัดแก่งตอย บอกให้ข้าพเจ้าขึ้นไปหา เพราะว่ามีธุระสำคัญจะพูดด้วย เมื่อข้าพเจ้าทราบแล้วได้รีบเดินทางไปวัดธาตุมหาชัยทันที
ถึงวัดธาตุมหาชัยเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน จึงตัดสินใจเข้าพักจำวัดที่วัดป่าอรัญญคาม รอให้ถึงเลาเช้ารุ่งขึ้นจึงจะเข้าไปหาท่าน
ครั้นถึงเช้ามืด ประมาณตี 4 กว่า ข้าพเจ้ากำลังทำกิจวัตรอยู่ มีสามเณรมาเรียกอยู่หน้ากุฏิบอกว่าหลวงปู่ให้มาเรียกข้าพเจ้าไปพบที่กุฏิรับรองของหลวงปู่ในวัดป่าอรัญญคามที่ข้าพเจ้าได้มาพักจำวัด
พอได้ยินเช่นนั้น ข้าพเจ้ารีบบึ่งไปพบท่านทันที ทั้งยังนึกแปลกใจว่า หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่าข้าพเจ้ามาพักที่วัดนี้ โดยที่เมื่อคืนนี้ขาพเจ้ามาถึงดึกมาแล้ว และยังไม่ได้เข้าไปในวัดธาตุมหาชัยเลย แค่ผ่านวัดธาตุมหาชัยมาพักที่นี่
ท่านไม่น่าจะรู้ได้เร็วขนาดนี้
เมื่อไปถึง หลวงปู่พูดว่า เมื่อคืนรออยู่ที่วัดธาตุมหาชัย ยังไม่ได้จำวัด ท่านจึงตามเข้ามาถึงวัดป่าฯ ซึ่งก็คือมาถึงในเวลานี้
ข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกหวั่นใจและสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมหลวงปู่จึงเร่งร้อนขนาดนั้น
เมื่อได้ยินหลวงปู่บอกเรื่องราวทั้งหมด ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจและซาบซึ้งในพระคุณของท่านเป็นทวีคูณ
หลวงปู่ได้นำตำราโบราณของหลวงปู่พรหมาแห่งนครเวียงจันทน์ให้ข้าพเจ้าอ่านดู
ตำรานั้นเขียนด้วยตัวธรรมทังหมด อยู่ในสมุดข่อยเก่าคร่ำคร่า แต่ยังอยู่ในสภาพดี ด้วยหลวงปู่เก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวังมาตลอดชีวิตของท่าน
ตำรานั้นว่าด้วยการทำพิธีอธิษฐานจิตสร้างรูปเหมือนพญานาคให้ถูกต้องและเกิดปาฏิหาริย์ ซึ่งตำราได้กล่าวถึงว่าได้มีการทดลองทำขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง โดยมีหลวงปู่พรหมา หลวงปู่คำ หลวงปู่แก้ว และหลวงปู่ศรี ที่ฝั่งประเทศลาว
หลวงปู่ทั้ง 4 รูปนี้ได้บันทึกพิธีกรรมนี้เอาไว้ในสมุดธรรมฉบับนี้ โดยมีรายละเอียดมาก ตั้งแต่การรวบรวมมวลสารส่วนผสม 15 อย่าง การจัดตั้งขันพิธีบวงสรวงอัญเชิญเหล่าพญานาค การกำหนดวันและเวลา (ฤกษ์) การเลือกสถานที่ในการทำพิธี และพระคาถาที่ใช้ในการบริกรรม
พระคาถาจะต้องสวดให้ถูกต้องทุกคำ ทุกอักษร ห้ามผิดเพี้ยน หาไม่จะเกิดอันตรายได้
ตำรายังกล่าวเอาไว้อีกว่า สมัยนี้นหลวงปู่ทั้ง 4 รูป ได้มาปฏิบัติธรรมร่วมกันที่ภูหินอ่อน ในเขตเวียงจันทน์ และเกิดมีพญานาคใหญ่มาปรากฏแล้วกลายการอุปัฏฐากตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น
ทั้งยังถวายพิธีกรรมเหล่านี้ให้พวกท่านอีกด้วย
สาเหตุที่หลวงปู่คำพันธ์เรียกข้าพเจ้ามาพบท่านอย่างเร่งด่วนก็ด้วยท่านต้องการให้ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนวิชานี้เอาไว้
เหตุที่ท่านเจาะจงเลือกข้าพเจ้านั้น ปรากฏอยู่ในตอนท้ายของตำรา ซึ่งคือว่าเป็นข้อห้ามสำคัญ
คือห้ามทำหรือใช้วิชานี้ ถ้ายังเรียนไม่ครบ 7 ปี
ผู้เรียนต้องเป็นเชื้อสายของพญานาค หรือเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสูง ขนาดที่ว่าสามารถล่วงรู้อดีต อนาคต และมีอิทธิจิตทำอะไรได้เหนือธรรมชาติ
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงจะสามารถทำรูปพญานาคให้เกิดความสมบูรณ์ และเกิดอิทธิพลัง จนสามารถจะอัญเชิญเหล่าพญานาคมาร่วมพิธีได้
นอกเหนือไปจากบุคคลที่เป็นเชื้อสายพญานาคและพระอริยบุคคลแล้ว ห้ามทำหรือสร้างรูปเหมือนพญานาคโดยนัยจะให้เป็นสื่อหรือเกี่ยวข้องกับเหล่าพญานาคโดยตรงโดยเด็ดขาด
หาไม่แล้วจะเกิดอันตราย เกิดภัยพิบัติแก่ตนเอง
ข้าพเจ้าอ่านข้อความทั้งหมดแล้วจึงเข้าใจว่าทำไมหลวงปู่จึงไม่ให้ลูกศิษย์คนอื่น ๆ เล่าเรียน
แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมหลวงปู่จึงรีบเร่งกับเรื่องนี้มาก
หลังจากที่ท่านให้ข้าพเจ้ายกขันบูชาคารวะพ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้ว ท่านจึงกล่าวว่าการเรียนวิชานี้ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลและตรวจสอบอยู่เสมอจนครบ 7 ปี
ตัวหลวงปู่เองแก่เฒ่าแล้ว จึงต้องการให้ข้าพเจ้าสืบทอดวิชานี้เอาไว้ เพราะว่าต่อไปข้าพเจ้าจะได้ใช้วิชานี้ช่วยเหลือผู้คนในอนาคตอันใกล้นี้
ที่สำคัญคือ หลวงปู่ยังพอจะมีสุขภาพเข้มแข็งที่จะดูแล ควบคุม ตรวจสอบ แนะนำข้าพเจ้าได้
ต่อมาในปี 2546 เดือนมิถุนายน หลวงปู่ได้เรียกข้าพเจ้าไปพบอีกครั้ง ตอนนั้นท่านอาพาธหนัก มีลูกศิษย์และแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ท่านให้ข้าพเจ้าประคองท่านลุกขึ้นไปนั่งรถเข็น แล้วให้ข้าพเจ้าเข็นรถท่านไปที่องค์พระธาตุมหาชัย โดยไม่ให้พระเณรหรือใคร ๆ ติดตามไปด้วย
มีเพียงหลวงปู่กับข้าพเจ้า 2 คนเท่านั้น
เมื่อไปถึงองค์ธาตุมหาชัย ท่านได้กล่าวว่าวิชาที่ให้ข้าพเจ้าเรียนไว้ให้หมั่นท่องภาวนาและจดจำขึ้นใจ เวลานี้หลวงปู่ถือว่าได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดให้อย่างสมบูรณ์แล้ว ต่อไปอีก 3 ปีข้างหน้า ข้าพเจ้าจะได้ใช้วิชานี้ทำรูปเหมือนพญานาค เพื่อช่วยเหลือผู้คนจำนวนมาก
หลังจากออกพรรษาปี 2546 ในเดือนพฤศจิกายน หลวงปู่ได้มรณะละสังขารไปตามกฏแห่งพระไตรลักษณ์”
ถึงตรงนี้คงจะหมดคำถามกันแล้วว่าทำไมจึงต้องสร้าง
หลังจากสร้างขึ้นมาแล้วจะต้องมีทั้งผู้เชื่อถือศรัทธาและไม่เชื่อถือศรัทธา
เป็นเรื่องธรรมดาครับ
เกี่ยวกับตำราวิชาโบราณนี้มีที่มาที่ไปซึ่งจะเล่าเพิ่มเติม
จะเพิ่มความเชื่อถือหรือเพิ่มความไม่เชื่อถือก็ไม่ทราบ
หลวงปู่คำพันธ์เคยเล่าว่า นอกจากหลวงปู่เสาร์กับปู่ผ้าขาวครุฑแล้ว ก็มีหลวงปู่พรหมารูปนี้ที่ท่านถือว่าเป็นครูบาอาจารย์
การเป็นศิษย์ เป็นอาจารย์เกิดขึ้นได้อย่างไร
บอกไว้เสียด้วยว่าแปลกมาก
หลวงปู่คำพันธ์ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อหลวงปู่พรหมาก่อน แต่หลวงปู่พรหมาได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงมาหาหลวงปู่ด้วยตนเอง
ในขณะนั้นหลวงปู่คำพันธ์มีอายุประมาณ 57 ปี กำลังเริ่มลงมือก่อสร้างองค์ธาตุมหาชัยอยู่ในราว พ.ศ. 2515
หลวงปู่พรหมาได้บอกว่าที่เดินทางไกลมาหาถึงวัดธาตุมหาชัยนี้ก็เพื่อจะมาถ่ายทอดวิชาอาคมให้
หลวงปู่คำพันธ์ได้ยินก็เฉย ๆ ไม่ได้มีความตื่นเต้นสนใจอะไร
ท่านว่า
“ ในเวลานั้นมุ่งประพฤติปฏิบัติเคร่งครัด ไม่ได้มีจิตใจฝักใฝ่ในวิชาอาคมใดใด ”
และยังไม่เกิดความเชื่อถือในตัวหลวงปู่พรหมา
ทั้งยังสงสัยว่ามีเลศนัยอะไรหรือไม่ที่อยู่ ๆ หลวงปู่พรหมาก็ปรากฏตัวขึ้นมาบอกจะถ่ายทอดสอนวิชา โดยที่ไม่ได้ไต่ถามก่อนว่าหลวงปู่คำพันธ์จะสนใจหรือเปล่า
คนที่เขาสนใจจะเรียนก็คงจะมีเยอะแยะ ก็แล้วทำไมจึงจะมาเลือกท่านที่ไม่ได้มีความสนใจอะไรเลย
แถมยังไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อนอีกต่างหาก
วันหนึ่งตอนเช้ามืด หลวงปู่พรหมาได้เอ่ยปากชวนหลวงปู่คำพันธ์ไปบิณฑบาตที่อำเภอธาตุพนม
“จะไปได้ยังไงครับ ไม่ใช่ใกล้ ๆ” หลวงปู่คำพันธ์สงสัย
“ถ้าอย่างนั้นท่านยังไม่ต้องไป ผมจะไปคนเดียวก่อน แล้วจะกลับมาให้ทันฉันเช้าด้วยกัน” หลวงปู่พรหมาว่า
จากนั้นท่านก็เดินอุ้มบาตรออกจากวัดธาตุมหาชัยไป
วัดธาตุมหาชัยสมัยปี 2515 ถนนหนทางยังทุรกันดาร รถราหายาก ไม่มีรถประจำทาง แต่ถึงมีก็ไม่มีทางไปกลับได้ทัน ด้วยอำเภอธาตุพนมอยู่ห่างจากวัดธาตุมหาชัยไม่น้อยกว่า 60 กิโลเมตร
ครั้นถึงเวลาหลวงปู่คำพันธ์ออกบิณฑบาต ท่านก็ออกไปตามปกติ คือบิณฑบาตอยู่ในบ้านธาตุมหาชัย จนได้อาหารพอเพียงจึงกลับวัด
เห็นหลวงปู่พรหมานั่งรออยู่ก่อนแล้วในศาลาโรงอันมีอาหารคาวหวานเต็มบาตร ซึ่งท่านก็ไม่ได้สนใจไต่ถามอะไรในตอนนั้น
จนฉันเสร็จจึงได้คุยกัน
“ตกลงหลวงพ่อไปบิณฑบาตที่บ้านไหน” หลวงปู่คำพันธ์ถาม
“ก็ธาตุพนมอย่างที่บอกไง” หลวงปู่พรหมายืนกรานตามนั้น “ถ้าท่านไม่เชื่อให้ไปถามเจ้าคุณแก้วว่าผมไปจริงหรือไม่”
เจ้าคุณแก้ว คือ พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดธาตุพนมในขณะนั้น
หลวงปู่คำพันธ์จึงให้ญาติโยมจัดหารถเดินทางไปวัดธาตุพนมในตอนสายของวันเดียวกัน
ท่านว่า
“ไปพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ จะคุยโม้โอ้อวดอะไรจะได้รู้กัน”
เมื่อไปถึงวัดธาตุพนม เจ้าคุณแก้วรับว่ามีพระผู้เฒ่ารูปหนึ่งมาขอบิณฑบาตร่วมกับท่าน โดยที่ท่านเองเข้าใจว่าพระผู้เฒ่ารูปนี้คงธุดงค์มาไกลและพักอยู่วัดใกล้ ๆ แถวนี้
“พระผู้เฒ่ารูปนั้นพักอยู่กับกระผมขอรับ” หลวงปู่คำพันธ์กราบเรียนเจ้าคุณแก้ว
ท่านเจ้าคุณฯ ถึงกับอึ้ง
ในที่สุดท่านเจ้าคุณฯ ได้เดินทางมาวัดธาตุมหาชัยกับหลวงปู่คำพันธ์เพื่อมาดูว่าจะเป็นพระผู้เฒ่ารูปเดียวกันหรือเปล่า
พอพบเห็นหลวงปู่พรหมาก็เกิดอัศจรรย์ใจเลื่อมใส ก้มกราบด้วยความเคารพ และถือว่าเป็นอาจารย์ที่ควารค่าแก่การศรัทธามาแต่นั้น
หลังจากบทพิสูจน์นี้เสร็จสิ้น หลวงปู่พรหมาได้เดินทางออกจากวัดธาตุมหาชัย ไปพักอยู่วัดบ้านม่วง ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านธาตุมหาชัยราว 1-2 หมู่บ้านคั่นกลาง
ส่วนหลวงปู่คำพันธ์ก็ได้เดินออกจากวัดธาตุมหาชัย ตามหลวงปู่พรหมาไปทั่วบ้านม่วงเพื่อขอเล่าเรียนวิชาอย่างเต็มใจ
เรื่องนี้ยังไม่จบครับ