แมนไม่แมน
แมนไม่แมน
เดี๋ยวนี้เพศที่ ๓ หรือที่เรียกว่าเกย์และเลสเบี้ยน ได้รับการยอมรับในสังคมไทยมากขึ้น
สมัยก่อนผมเห็นกะเทยเข้าไปที่ไหนเป็นต้องชักชวนกันชี้ดู เหมือนได้พบเห็นของแปลกประหลาด
แต่ทุกวันนี้เห็นเป็นของธรรมดา คือเห็นแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ
เฉย ๆ ก็เป็นการยอมรับสถานะทางสังคมอย่างหนึ่งว่างั้นเถิด
ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า จำนวนเพศที่ ๓ เดี๋ยวนี้มีมากเหลือเกิน
สามารถจะเรียกว่าประชาชนชาวเกย์ก็ได้ หรือพลเมืองชาวเกย์ก็ได้
เพราะเหตุที่เพศที่ ๓ มีจำนวนมากจึงรู้สึกธรรมดา แต่มานึกดูแล้วก็ไม่ธรรมดา
เพราะว่าทำไมเพศที่ ๓ จึงมีจำนวนมากมายอย่างนี้
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับปรารภว่า สมัยเราเรียนเพาะช่างนั้น เราเป็นวัยรุ่นระเบิดขวด เพราะว่ายุคนั้นระเบิดขวดเป็นของหาได้ง่าย ๆ เหมือนข้าวของเครื่องใช้ในท้องตลาด โดยมีแหล่งผลิตใหญ่จากฝ่ายเทคนิคในโรงเรียนเทคนิคต่างๆทั่วกรุงเทพฯ สามารถผลิตได้ตั้งแต่ชนิดมีแต่เสียงดังตูมไว้ขู่ หรือดังตูมแล้วทำให้บาดเจ็บได้
ช่วงที่เราเชี่ยวชาญในเรื่องระเบิดขวด ดูเหมือนจะเป็นช่วงเดียวกับที่อเมริกาเพิ่งจะริอ่านหัดไปดาวอังคาร
เวลามีคอนเสิร์ทที่ไหน ก็มีเสียงให้จังหวะนักร้องตูมตรงโน้น ตูมตรงนี้
เรียกว่าระเบิดขวดกับเรื่องตีกันเป็นของธรรมดา
แต่พอมาถึงสมัยนี้ก็กลายเป็นยุคสมัยของวัยรุ่นตุ๊ดไปแล้ว
แม้แต่น้องชายของเขาเองก็ยังเป็นยังงั้น
จริงๆแล้วกับเพศที่ ๓ นี้ ผมคุ้นเคยและรู้จักอยู่เป็นอันมาก เป็นเพื่อนฝูงคบหากันได้หลายคน ก็พบว่าเป็นคนดีๆน่ารักทั้งนั้น
ด้วยเหตุที่มีเพื่อนเป็นเกย์ และได้พบเห็นคุ้นเคยกับพวกเขา ก็เลยทำให้มีเวลาพูดคุย ซักถามแล้วก็สังเกตเห็นมูลเหตุที่พวกเขาต้องเป็นเกย์ไปได้อย่างไร
เอาเป็นว่ามาคุยกันเล่น ๆ แต่เห็นจริง ๆ กันก็ได้เถอะครับ
อยากบอกว่ามูลเหตุที่คนต้องเป็นเกย์ไปได้นั้นส่วนใหญ่มักมาจากปัญหาภายในครอบครัว
พูดอย่างนี้ออกจะเชยสักหน่อยเพราะใคร ๆ ก็อ้าง “บ้านนี้มีปัญหา” ได้ทั้งนั้น
ปัญหาโต ๆ ที่มีในบ้านก็มักจะมีขึ้นกับพ่อแม่ก่อนอื่น โดยเฉพาะในรายที่พ่อไม่เอาไหน (ในทรรศนะของแม่) แม่ก็มักจะสะสมความทุกข์ความไม่สบายใจ แล้วก็เลยแสดงออกด้วยการดุด่า ตำหนิพ่อต่อหน้าลูกอยู่เสมอ
บ่อยเข้าลูกก็เลยพาลเกลียดพ่อตามแม่ไป
ที่สำคัญคือวิธีเลี้ยงลูกของแม่ในรายที่ลูกชายกลายเป็นเกย์ แม่มักจะมีอำนาจเหนือกว่าพ่อ และให้ความรักความเอาใจลูกชายมากเกินไป ที่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหายไปจากพ่อ คือพ่อไม่มีเวลาใกล้ชิดลูก แล้วก็เลยลืมไปว่าลูกกำลังโตวันโตคืน กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น
ธรรมชาติของเด็กวัยนี้มักมีความต้องการอิสระ อยากเป็นตัวของตัวเอง แต่แม่ก็คอยสอดส่องคอยกำหนดสั่ง ซึ่งก็คงจะเพราะความรักความห่วงเท่านั้น จึงกลายเป็นแรงกักขังลูกอีกแรงหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ปกติแล้วในเด็กผู้ชายมักจะเลียนแบบพ่อ ขณะที่เด็กผู้หญิงเลียนแบบแม่ แต่แม่ก็อัดพ่อทิ่มตำพ่อทุกวัน ลูกก็เลยสับสนไม่รู้จะเข้าข้างใครดี ทีนี้มาประจวบกับพ่อไม่มีเวลาใกล้ชิดลูกเข้าอีก ลูกก็เลยเริ่มเห็นแม่เป็นฮีโร่เลย มีความเชื่อคล้อยตามแม่ ในที่สุดก็พัฒนาความเกลียดพ่อไม่ศรัทธาพ่อ
เรียกว่ารักแม่มากกว่าพ่อเถอะครับ
สุดท้ายก็หันมาเลียนแบบแม่ พูดง่ายๆคือจะเป็นให้ได้อย่างแม่หรือเหมือนแม่
ในรายของน้องชายเพื่อนผู้หญิงของผมก็เช่นกัน แม้ในเวลานี้ยังดูไม่ซึ้งว่าจิตใจเปลี่ยนไปเป็นคนรักร่วมเพศหรือยัง แต่พฤติกรรมที่เห็นก็มีความนุ่มนิ่ม หรือมีกิริยาอย่างผู้หญิงไปไม่น้อย
ปัญหาในครอบครัวก็อีหรอบเดียวกัน คือพ่อไม่เป็นที่พึ่งของครอบครัวได้ และบังเอิญแม่ก็ย่ำแย่เพราะไม่มีกำลังมากพอจะเป็นหลักครอบครัวแทนพ่อได้ แม้ว่าจะเป็นผู้พยายามทำเพื่อลูกก็ตาม
พฤติกรรมการเลียนแบบ จึงหันมายึดพี่สาวเป็นแบบอย่างถึงกับบางครั้งเห็นพี่สาวทาลิปสติคก็หยิบมาทามั่ง เครื่องสำอางของพี่สาว เจ้าน้องชายก็แทบจะใช้ตามไปจนเกือบครบทุกอย่างที่มี
เห็นแล้วก็อ่อนใจละครับ
ยังอุ่นใจนิดนึงตรงที่หมอยังมีรสนิยมชอบผู้หญิงให้เห็นบ้าง แต่บุคลิกที่แสดงออกไม่เป็นอย่างที่เรียกว่า “แมน” ไปได้
เพื่อนถึงกับปรึกษากันกับผมว่าจะทำไงดี ผมก็ไม่ใช่นักแก้ปัญหาลึกซึ้งอย่างนี้ได้เสียด้วย
ก็มึนกันไป
นี่ได้ข่าวว่ากำลังจะเกณฑ์ทหาร ผมก็อนุโมทนาสาธุและแอบไปบนหลวงพ่อไว้เยอะแยะ
ขอให้หมอนี่ติดทหารทีเถอะ
จะได้เข้มแข็งเป็นผู้ชายชาตรีกับเขาบ้าง เพราะยังพอเชื่อได้ว่าจิตใจของเขายังปกติดี เสียแต่ “ขี้โหย่ย” ไปหน่อย
คนอีสานรู้จักคำว่า “ขี้โหย่ย” ดีทุกคนแหละครับ
ที่พูด ๆ มาถึงตรงนี้ ผมก็ไม่ได้พยายามจะบอกว่านี่คือมูลเหตุอันเดียวที่บันดาลให้ผู้ชายเป็นเกย์ หรือในทางกลับกันผู้หญิงเป็นเลสเบี้ยน แต่อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งในกระจกหกด้าน ซึ่งผมมองเห็นในด้านหนึ่ง
เห็นแล้วก็มาคุยกันยังงี้แหละครับ
คุยกับใครก็ไม่สนุกเท่ากับผู้อ่านหรอกจริง ๆ ให้ดิ้นตาย
…………………………………………………..
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารแปลกฉบับที่ 595 วันที่ 21 กรกฎาคม 2530