พระกับมวย

มวยสมัครเล่นในกีฬาโอลิมปิก ทำให้คนไทยได้เฮกันอีกครั้งเมื่อมนัส บุญจำนงค์ จ้วงหมัดใส่นักชกคิวบา จนกว้าเหรียญทอง ในรุ่น 60-64 kg. มาได้

คนเชียร์น้ำตาไหลพรากด้วยดีใจเหลือระงับ

จะบอกว่าน้ำตาหยดใส่ต้นฉบับ คงไม่มีใครเชื่ออยู่แล้วล่ะ

ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ วรพจน์ เพชรขุ้ม ยังไม่ขึ้นเวทีเพื่อชิงเหรียญทองในรุ่นของเขา ซึ่งไม่แน่นักว่าตอนนั้นจะถึงคราน้ำตาเปื้อนหมึกอีกหน

“น้ำตาเปื้อนหมึก” เป็นสำนวนโบราณ แสดงภาพคนเศร้าในราตรีอันแสนเหงา กับจดหมายที่กำลังเขียนส่งให้คนรักที่อยู่แสนไกล เขียนไปร้องไห้ไป จนกระทั่งน้ำตาหยดแหมะรดตัวหนังสือที่เขียนด้วยปากกาหมึกซึม เกิดภาพวาดที่ช่างเหมือนจิตรกรวาดดอกไม้ต่างๆ โดยไม่อาศัยพู่กันก็ปานนั้น

น้ำตาเปื้อนหมึกจึงเป็นเรื่องของปากกาหมึกซึม

คนล่วงศีลมุสาอยู่เป็นนิตย์ ก็มักจะลวงโลกด้วยการสลัดหยดน้ำใส่

ทำให้แนบเนียนแล้วคนอ่านอาจหยด น้ำตาลงซ้ำรอยได้หลายแหมะ แต่ถ้าไม่แนบเนียนพอใครอ่านก็จะพาลนึกว่าไอ้เสือนี่คงนั่งตากฝนเขียนจดหมาย เป็นใช่เลย

น้ำตาที่แท้จริงจะว่าไปแล้วไม่ค่อยไหลออกมาวุ่นวายแบบนี้หรอกครับ มีแต่จะไหลย้อนเข้าไปในอก

น้ำตาแบบนี้ไม่มีวันเปื้อนหมึก

ผมดูมวยโอลิมปิกแล้วพลอยรู้สึกว่าอกใจมีอุทกธารเอ่อท่วม เข้าใจว่าเป็นน้ำอีกสายหนึ่งอันเกิดด้วยแรงคิดถึงหลวงปู่คำพันธ์ เพราะว่าถ้าท่านยังอยู่ท่านก็จะดูมวยคู่นี้เหมือนกัน

มวยคู่สำคัญอย่างนี้หลวงปู่ไม่เคยพลาด

ท่านเป็นพระที่ชอบมวยอย่างที่เรียกว่าเป็นชีวิตจิตใจ

สมัยนู้นไปกราบท่านเมื่อไหร่ จะให้ดีต้องซื้อหนังสือมวยไปถวาย ถ้าไม่มีแขกแปลกหน้า ท่านจะคว้าอ่านทันที แล้วทิ้งโลกอย่างไม่มีเยื่อใยไปต่อหน้าต่อตา เหมือนไม่มีใครอีกแล้วอยู่แถวนั้น มีเพียงตัวท่านกับหนังสือมวยตามลำพัง

คนถวายหนังสือมวยต้องเรียนรู้การปล่อยวาง คือปล่อยหลวงปู่ไว้ก่อนแล้วจงหันไปสนใจอย่างอื่นแทน

หากว่าท่านกำลังดูมวยถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ต้องเข้าใจว่านั่นคือ เวลางดรับแขก ใครจะร้อนจะหนาว จะทุกข์หนักทุกข์เบาอย่างไรต้องคอยจนกว่ามวยจะเลิก

ลูกศิษย์หัวกะทิมักดูโปรแกรมถ่ายทอดมวยไว้ล่วงหน้า เพื่อจะกำหนดว่าเวลานั้นจะไม่มีวันไปคอยพบท่าน เพราะจะต้องคอยแล้วคอยไม่สิ้นอย่างที่แขกแปลกหน้า ผู้ไม่รู้เรื่องนี้ต้องคอยอย่างกระสับกระส่ายกันบ่อย ๆ

เรื่องหลวงปู่ไม่พลาดการดูมวยนี้ เป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ถึงแม้จะเป็นนิยาย ก็จะเป็นนิยายที่น่าสงสัยว่าคิดแต่งออกมาได้ไง

ครั้งหนึ่ง (จะเป็นวัน เดือน ปีไหนจำไม่ได้) หลวงปู่รับนิมนต์ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบวรฯ นึกไม่ออกว่าเป็นพิธีอะไร แต่ว่าฤกษ์พิธีที่หลวงปู่จะต้องเข้าไปนั่งปรกตรงกับการถ่ายทอดมวยพอดี ดูเหมือนจะเป็นมวยชิงเชมป์โลก จำไม่ได้อีกแล้วว่าเป็นการชกระหว่างใครกับใคร ลูกศิษย์ที่นครพนม โทร.ทางไกลมาเรียนเตือนหลวงปู่ว่าอย่าลืมดูการถ่ายทอดหลวงปู่บอกไม่ลืมหรอก แต่ต้องเข้าพิธีพุทธาภิเษก ด้วยความจำเป็นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลูกศิษย์ก็เข้าใจว่า คราวนี้หลวงปู่อดดูมวยแน่นอนแล้ว

หลังออกจาก พิธีพุทธาภิเษก ท่านพูดกับลูกศิษย์ที่ติดตามไปด้วยว่า
“ปู่ไม่ได้นั่งปรกเลย มัวแต่ดูมวย”

ท่านบอกอย่างละเอียดว่าใครชนะอย่างไร ชนะยกไหน ซึ่งก็ตรงตามที่ท่านว่าทุกประการ

คงไม่ต้องเตือนใครให้ระวังเรื่องการนิมนต์ท่านไปปลุกเสกพระขณะมวยถ่ายทอดสด เพระว่าใครก็นิมนต์ท่านไม่ได้อีกต่อไป

อีกคราวหนึ่ง เขาทราย แกแล็กซี่ จะป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกกับนักมวยต่างชาติคนหนึ่ง (ลืมครับ ลืม) หลวงปู่ถามอาจารย์เวทย์ ก่อนการชกจะเริ่มขึ้น
“เจ้าว่าเขาทรายจะน็อก ไหม”
“น็อกครับ” อาจารย์เวทย์ว่า
“น็อกยกไหน”
“ไม่รู้ครับ”
“อ้าว…เจ้า รู้ว่าเขาทรายจะน็อก เจ้าก็ต้องรู้ว่าน็อกยกไหนสิ”
“ยก 6” อาจารย์เวทย์มั่วไป
“อ๊ะ…ยก 6 ไม่มี, ไม่มีหรอกยก 6 เขาทรายน็อกยก 5 จะมียก 6 ได้ไง”
พอขึ้นยก 5 แค่ต้นยกเท่านั้น หมดทะลวงไส้ก็ล้วงเอาลำไส้คู่ชกจนนอนแหมบ ให้กรรมการนับ 10 จริง ๆ
หลวงปู่หัวเราะชอบใจ
“ไหมล่ะ”

เขาทรายเคยไปกราบหลวงปู่ร่วมกับเขาค้อ คู่แฝด ทราบว่าเขาทรายให้ความเคารพหลวงปู่ไม่น้อย แต่เขาค้อไม่ค่อยเชื่อถือหลวงปู่สักเท่าไหร่ มีคนได้ยินเขาทรายปรามเขาค้อว่า
“อย่าไปว่าท่านอย่างนั้น ถ้าท่านไม่เก่งจริง จะมีคนนับถือท่านเยอะแยะอย่างนี้เหรอ”

เรื่องนี้ เกิดขึ้นก่อนหน้าเขาค้อเป็นโรควูบ เสียแชมป์ไม่นาน

ว่าง ๆ จะหาโอกาสคุยกับเขาทรายเกี่ยวกับหลวงปู่ แต่ไม่รู้ว่าว่างแล้วจะมีโอกาสหรือไม่

แต่กับ โอโรโน่ พ.เมืองอุบล นั้นเคารพนับถือหลวงปู่เป็นที่สุด มีความผูกพันกับหลวงปู่มากกว่านักมวยคนอื่น ๆ

โอโรโน่ พ.เมืองอุบล ปัจจุบันอายุ 31 เลิกชกมวยแล้ว ในอดีตเคยเป็นแชมป์มวยรอบปูนซีเมนต์ซุปเปอร์ไฟท์ แชมป์เวทีลุมพินี รุ่นไลท์เวท และเป็นยอดมวยไทย ปี 2537 โดยสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬา

โอโรโน่ เล่าว่า พบหลวงปู่ครั้งแรก อายุ 21 ปี กำลังจะเริ่มเข้าต่อยมวยรอบปูนซีเมนต์ซุปเปอร์ไฟท์ ก่อนหน้านั้นได้ยินชื่อหลวงปู่จากลูกสาวของ คุณพจน์ วงศ์เมืองจันทร์ ซึ่งพำนักอยู่จังหวัดกาฬสินธุ์ เขาลือว่า หลวงปู่ให้ลาภจึงนึกอยากได้ลาภจากหลวงปู่

“พอดีคุณแม่ (ภรรยาคุณพจน์ หัวหน้าค่าย) จะไปกราบหลวงปู่ ก็เลยพาผมไปด้วย หลวงปู่รู้จักผมแล้ว เพราะว่าเคยเห็นผมชกมวยทางโทรทัศน์ท่านก็เมตตาเป็นพิเศษ ท่านถามผมว่าเวลานี้อายุเท่าไหร่ ผมเรียนท่านว่า 21 ปีครับ ท่านก็คุยเรื่องอื่นต่อไป พอเผลอ ๆ ก็หันมาถามอีกว่า อายุเท่าไหร่แล้ว, 21 ปีครับ, ไม่ได้เฉลียวใจเลย งวดนั้นหวยออกเลขล่าง 21 ตรง ๆ ผมไม่ได้ซื้อ”

หลังจากท่านถามเรื่องอายุ 2 ครั้งแล้ว หลวงปู่ได้อวยพรแก่โอโรโน่ว่านับแต่นี้ไป เจ้าจะชนะตลอดจนถึงแชมป์

เมื่อเข้าแข่งขันชกมวยรอบปูนซีเมนต์ซุป เปอร์ไฟท์ โอโรโน่ก็ชนะตลอดจริง ๆ จนเป็นที่ 1 ในสาย A และสามารถเอาชนะ จนครองแชมป์มวยรอบฯ สำเร็จ ได้รับรางวัลเป็นบ้าน 1 หลัง ที่พัทยา

สมัยหลัง ๆ โอโรโน่ เริ่มเหินห่างเวที แต่ก็ถูกกำหนดตัวให้กลับมาชกกับนักมวยฝรั่งเศส ที่ถือว่าเป็นคนต่างชาติที่ชกมวยไทยเก่งมาก ชื่อว่า สตาร์โบกี้ โดยจะชกกันที่บ้านปากแซง อ.เขมราฐ จ.อุบลฯ มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ช่อง 11 ด้วย

“ผมหยุดชกมวยมา 6 เดือน เจ็บขา ไม่อยากชกเลยครับ แต่ก็หนีไม่ออกต้องขึ้นชกกับเขา พอดีมีโอกาสไปกราบหลวงปู่ก่อนชกเรียนถามท่านว่า ผมจะชกชนะไหมครับ ท่านก็ว่าให้ชกที่แขน เตะตัดที่ขาคู่ต่อสู้เยอะ ๆ จะชนะได้ พอไปชกจริง ๆ ผมเจ็บขาเตะไม่ไหว ก็เลยแพ้”

“หลวงปู่สอนเชิงมวยด้วยเรอะ”

“ก็ท่านเป็นนักมวยเก่า มวยคาดเชือกสมัยก่อน ท่านชอบมวยก็แนะเชิงมวยให้”

อาจารย์เวทย์เล่าว่า ระหว่างโอโรโน่ขึ้นชกกับสตาร์โบกี้นั้น หลวงปู่ได้ดูด้วย ระหว่างดูก็เอะอะ
“เอ้า…บอกให้ตีแขนเตะขา ทำมั้ยไม่ตี ไม่เตะ ยังงี้ก็แพ้เขานะสิ”

หลวงปู่บ่นกระปอดกระแปด หลังจากโอโรโน่แพ้ให้แก่สตาร์โบกี้
“บอกแล้วไม่ทำตามไม่รู้จะมาถามกัน ทำไม”

เรื่องหลวงปู่เป็นนักมวยเก่า มวยคาดเชือกจะจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ ไม่เคยนึกเฉลียวใจถามท่านแต่ว่าเรื่องการต่อยตีมวยท่านเคยครั้งหนึ่ง
เป็นการตีกันนอกเวที

ตอนนั้นหลวงปู่ อายุประมาณ 24 ปี เพิ่งสึกออกมาใหม่ ๆ หลังจากการบวชครั้งแรก เป็นห้วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ว่าจะแต่งเมียหรือไม่ คือมีลูกสาวเศรษฐีบ้านหนองหอย บ้านเกิดของท่านมาชอบ ก็เลยลังเลไม่แน่ใจ แต่เรื่องนี้เป็นนิยายรักที่ประทับใจผมมาก ไว้ทำประวัติแบบรวมเล่มวัตถุมงคลท่านเมื่อไหร่ จะเขียนถึงเรื่องนี้อย่างละเอียด

ตอนนี้ขอเว้นไปก่อนเพราะว่าเรื่อง มวยกับเรื่องรักถ้ามาอยู่ด้วยกันมันดูขัด ๆ ยังไงพิกล

จำได้แม่นที่ สุด…หลวงปู่พูดยิ้ม ๆ กับผมในคืนหนึ่งระหว่างพักการปลุกเสกพระกริ่งรุ่นแรก หลังจากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังท่านว่า “สมัยหนุ่ม ๆ หลวงปู่ก็หล่อเหมือนกัน”

เอาไว้ก่อนเถอะครับ มาคุยเรื่องมวยของหลวงปู่ต่อดีกว่า

ตอนนั้นหลวงปู่ ได้รับความไว้วางใจให้เป็นกรรมการใหญ่ ดูแลการเงินของวัดหนองหอย ต.นาแก อ.ธาตุพนม (ปัจจุบัน ต.นาแก เป็น อ.นาแก) พอดีมีงานวัด เกิดเรื่องนักเลงมาอาละวาด 3 คน มาจาก อ.ธาตุพนม พกปืนมาด้วยคนหนึ่ง ใครก็ไม่กล้าแหยม
“มีคนวิ่งมาตามหลวงปู่บนศาลา” หลวงปู่เล่า “ในใจปู่ไม่นึกกลัวพวกมันหรอก แต่นึกสงสาร”

เมื่อหลวงปู่ลงไปถึงที่ เกิดเหตุ นักเลงคนหนึ่งรู้จักหลวงปู่ ก็โวยวายทันที
“อ้อ มึงนี่เองเรอะ จารย์คำพันธ์ที่เขาลือว่าแน่”

หลวงปู่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงบอกทำนองขอร้องคนทั้ง 3 คน ว่า นี่งานวัดคนเขามาร่วมทำบุญกันอย่ามีเรื่องมีราวอะไรเลย นักเลงทั้ง 3 หาได้สนใจฟังไม่ ปราดเข้าใส่หลวงปู่ทันที
“เชื่อหรือไม่ ปู่เตะคนแรกทีเดียวมันก็สลบเหมือด”
“ฮ้า”
“คนที่ 2 ก็วิ่งเข้ามา ปู่เตะอีกที สลบไปอีก ไอ้คนที่ 3 ทำท่าล้วงปืน ปู่เห็นก็เตะอีกที สลบไปอีกคน”
“หลวงปู่เตะคนละทีพวกนั้นถึงกะสลบได้ไง”
“เชิงมวยปู่ดี”

ผมไม่เชื่อหรอกครับเข้าใจว่าจะต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังการเตะอันชงัดครั้งนี้

นึกไปถึงเรื่อง “มือธนู” ที่เคยได้ยินว่า มีการลงอาคมที่มือ มีอานุภาพขนาดต่อยควายล้มตึงตายคาที่
“หลวงปู่ลงอะไรไว้ที่ขาหรือเปล่า”
“มีแต่ผ้าขาวครุฑ อาจารย์ปู่สักที่ขาให้ ท่านว่าทำให้ขาแข็งแรง เดินธุดงค์ได้ไกล ๆ ไม่เหนื่อย”

คิดเหมือนผมไหมครับ?

ยังไงก็ ต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในการเตะครั้งเดียวสลบนี้แน่นอน

เพียงแต่ท่านไม่ พูดออกมา

เรื่องเตะครั้งเดียวถึงสลบนี้ หลวงพี่รูปหนึ่งที่วัดยืนยันได้ว่าจริง เพราะว่าท่านเคยถูกหลวงปู่เตะครั้งเดียวสลบเหมือดมาแล้ว

ขอสงวนนาม หลวงพี่ท่านนี้ไว้ เกรงใจท่าน เดี๋ยวท่านจะว่าเอาชื่อท่านมาขาย ท่านก็ยังอยู่ที่วัดมหาธาตุมหาชัย ทุกวันนี้

หลวงพี่เล่าด้วยตัวเองว่า ตัวท่านเป็นพระยอดแสบ แอบกินข้าวมื้อเย็นอยู่เป็นนิตย์ หลวงปู่คงจะพอรู้จึงเทศน์สอนให้พระทั้งวัดฟังด้วยกันว่า เราเป็นพระกินข้าวโยม ควรรู้จักว่าอะไรควร ไม่ควร แต่หลวงพี่ท่านนี้หาได้สนใจไม่

วันเกิดเหตุนั้นหลวงพี่แอบนั่งกิน ข้าวมื้อเย็นอยู่ในกุฏิตามลำพัง ปิดประตูหน้าต่างจนมิดชิด กำลังกินเพลิน ๆ ได้ยินเสียงทักจากนอกกุฏิ
“กินข้าว อร่อยไหม”
“อร่อยสิ…มากินด้วย กันไหมล่ะ” หลวงพี่ร้องตอบไป
“เอาโลด กินให้แซ่บเด้อ”

พอถึงตรงนี้ หลวงพี่จำเสียงได้ว่าเป็นเสียงใคร ก็สะดุ้งโหยง ตกใจกลัวลุกขึ้นแบบขาดสติ กระโจนทะลุหน้าต่างที่ปิดสนิทออกไปได้อย่างน่าแปลกใจ มีแต่ความกลัวแบบสุดขีด สุดชีวิต วิ่งหูดับตับไหม้หนีออกไปจากวัด จนไปถึงสระน้ำ จะไปซ่อนอยู่ที่นั่น (สระน้ำอยู่ห่างจากวัดประมาณ 500 เมตร)

พอจะเข้าที่ซ่อนก็เห็นหลวงปู่ยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว

“ไม่รู้ท่านมาถึง ก่อนได้ไง ผมวิ่งเร็วนะ วิ่งแบบไม่คิดชีวิตด้วย พอผมเห็นท่านยืนอยู่ ก้มลงจะกราบ ท่านเตะโครมเลย ผมสลบเหมือด”

หลวงปู่กลับถึงวัดแล้วก็ บอกพระเณรไปหามเอาหลวงพี่รูปนั้นกลับมาวัด ท่านทำน้ำมนต์รดให้ จึงพื้นคืนสติขึ้นมา
ตั้งแต่นั้น หลวงพี่กลายเป็นพระดี ไม่มีพฤติกรรมผิดศีลอะไรอีกเลย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง คลิก

___________________________

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 521
วันที่ 16 กันยายน 2547

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน