เรื่องที่ยังมีค้างอยู่กับหลวงปู่คำพันธ์
เตะครั้งเดียวสลบของหลวงปู่คำพันธ์นั้น มีผู้สนใจมาก ถามกันอึงคะนึงว่าหลวงปู่ลงอะไรไว้ที่ขา
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า พ่อผ้าขาวครุฑ อาจารย์ของท่านสักคาถาไม่กี่ตัวไว้ที่หน้าแข้ง เพียงเพื่อจะให้ท่านเดินธุดงค์ไม่เหนื่อย
คือมีขาที่แข็งแรงเดินขึ้น เขาลงห้วยได้ง่าย
ไม่ได้ลงไว้ให้ไปเตะใครสลบ
เรื่องเตะจนสลบ เห็นจะเดายากว่าเป็นเพราะอะไรแน่
แต่ก็มีผิดจนได้ครับ
เขียนผิดไปหน่อยนึง
ผิดตรงเรื่องหลวงพี่ที่วัดแอบกินข้าวมื้อเย็น แล้วโดนหลวงปู่เตะสั่งสอนจนสลบเหมือดในทีเดียว ซึ่งได้เล่าไว้เมื่อตอนที่แล้วผิดตรงที่หลวงพี่ไม่ได้วิ่งหนีไปที่สระน้ำ แต่วิ่งไปที่โรงเรียนข้าง ๆวัดไปแอบต้นไม้ หลวงปู่ก็ตามมาเตะสลบคาโคนต้นไม้
ที่วิ่งหนีไปสระน้ำเป็นอีกรายหนึ่ง
เรื่องเป็นอย่างนี้
มหาวินิจ บวชเรียนที่กรุงเทพฯ มาพักที่วัดหลวงปู่ประมาณ 1 เดือน มีพฤติกรรมเดียวกันคือแอบกินข้ามมื้อเย็น โดยซ่อนอาหารไว้ในกลองแตก บนหอระฆังเก่า มหาวินิจเล่าเองว่า นึกประมาทว่าหลวงปู่คงไม่รู้ เพราะเป็นพระแก่เฒ่ามากแล้ว ตอนนั้นหลวงปู่น่าอายุราว 70 กว่าปี เดินก็ยังไม่ค่อยไหว มหาวินิจก็แอบกินข้าวมื้อเย็นเป็นปกติอยู่หลายวัน
วันหนึ่งกำลังกินเพลิน ๆ ได้ยินเสียงทักว่า กินข้าวกับอะไรล่ะ อร่อยไหม มหาวินิจจำเสียงได้ว่า เป็นใคร ก็ตกใจจนขาดสติ กระโดดลงจากหอระฆังซึ่งมีความสูงไม่น้อย คะเนว่าประมาณ 3 เมตร วิ่งหนีไปทางบ้านวังจาน ตรงไปที่สระน้ำ จะไปซ่อนตัวที่นั่นพอถึงสระน้ำก็ก้มตัวหอบด้วยความเหนื่อย ได้ยินเสียงหลวงปู่ดังขึ้นข้างหลัง
“เป็นหนุ่มเป็นแน่นวิ่งมาแค่นี้ก็เหนื่อย”
หันกลับไปเห็นหลวงปู่ก็ตกใจ ก้มลงจะกราบ หลวงปู่เตะโครมเดียวสลบเหมือด
หลังจากนั้น หลวงปู่จึงให้พระเณรไปหามตัวมหาวินิจกลับวัด ทำน้ำมนต์รดให้จึงฟื้น
เรื่องพระโดนเตะจนสลบในครั้งเดียวนี้ มี 2 องค์ คือ หลวงพี่ที่ผมเล่ามาเมื่อตอนที่แล้ว กับมหาวินิจนี่แหละครับ
เหตุก็เกิดคล้ายกันเสมือนจะเป็นเรื่องเดียวกัน
มหาวินิจแปลกใจเป็นที่สุด ได้ปรารภกับ อ.เวทย์ ว่า
“ผมวิ่งไม่คิดชีวิตไปที่สระน้ำบ้านวังจานไกล จากวัดตั้งครึ่งกิโล แค่ยืนหอบ จะให้หายเหนื่อย หลวงปู่ก็มายืนอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ท่านมาได้ไง ผมเห็นว่าเรื่องอัศจรรย์เพราะท่านแก่แล้ว จะตามผมทันในพริบตาได้อย่างไร”
เมื่อมีโอกาส อ.เวทย์ได้เรียนถามหลวงปู่ว่า
“มหาวินิจเขาสงสัยว่า หลวงปู่ตามเขาไปทันได้ยังไง”
“ปู่ก็เดินไปเรื่อย ๆ”
“เขาว่าเขาวิ่ง เร็วนะครับ หลวงปู่จะเดินทันได้ไง”
“ปู่เดินทางลัดมั้ง”
อ.เวทย์ ก็หมดคำถามเมื่อท่านตอบแบบลัด ๆ
มีอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งสอดคล้องกับ เรื่องเดินทางลัดในวิธีของหลวงปู่
เฮียสันต์ (ชยันต์ รักเกียรติ) เป็นผู้เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์นี้แปลกมาก
ระหว่างงานวันเกิดหลวงปู่ ปี 2545 คณะชมรมพระเครื่องเมืองอุบลฯ นำโดย เฮียน้อย ไทยเจริญ ประธานชมรมได้พากันเหมารถตู้ไปร่วมงานของหลวงปู่
เวลานั้นหลวงปู่ กำลังอาพาธ ไม่แข็งแรง เดินไม่ค่อยจะไหว ออกจากกุฏิต้องนั่งรถเข็น เฮียน้อยก็วางแผนจะถ่ายรูปหลวงปู่โดยนั่งดักตรงประตูทางออกตั้งกล้องเตรียม ไว้
“พอหลวงปู่ออกมาเราจะนั่งตรงบันได เอ็งก็กดชัตเตอร์เลย ให้มีรูปเราอยู่กับหลวงปู่นะโว้ย”
เฮียน้อยบัญชาการแล้วทุกคนก็นั่ง คอยตามแผน
ระหว่างที่นั่งคอยอยู่นั้นได้ยินเสียงประกาศทางไมโครโฟน ว่า
“พระเดชพระคุณหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ ขณะนี้มาถึงศาลาแล้ว ญาติโยมทั้งหลายให้มารวมกันที่ศาลา จะได้เริ่มพิธีในบัดนี้”
คณะชมรม พระเครื่องเมืองอุบลฯ ทั้งโขยงก็สะดุ้งเฮือกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ไม่มีใครเห็นหลวงปู่ออกจากกุฏิตั้งแต่เมื่อไรแม้แต่คนเดียว
เฮียน้อย เกิดศรัทธาอย่างท่วมท้นในเรื่องแปลกนี้
“หลวงปู่จะแอบออกจากุฏิ โดยไม่ให้พวกผมเห็นนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน ผมงงเป็นไก่ตาแตก อยู่ ๆ ท่านก็ไปโผล่ที่ศาลา นั่งอยู่บนธรรมาสน์เรียบร้อย”
เรื่องนี้ผมก็ เห็นแปลกด้วยคน ในภายหลังผมได้เรียนถาม อ.เวทย์ ท่านตอบว่า
“อ๋อ จำได้ ตอนนั้นหลวงปู่ลงมาทางบันไดหน้ากุฏิ ที่พวกชมรมฯ นั่งคอยนั่นแหละ ผมเป็นคนช่วยประคองท่านร่วมกันคนอื่น เอาท่านขึ้นนั่งรถเข็น เข็นไปศาลาไม่ได้แอบหลบไปทางอื่นไหน”
ฟังดูแล้ว เป็นเรื่องของคนจำนวนมาก ทั้งฝ่ายชมรมฯ ก็มาก ฝ่ายหลวงปู่ก็มาก เมื่อคนมากแล้วจะไม่มีใครเห็นใคร ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยเฉพาะฝ่ายหลวงปู่ ซึ่งเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ระมัดระวังเพราะว่าท่านอาพาธ อาการอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ว่าจะเล็ดลอดสายตาที่จ้องคอยอย่างนั้น
เกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ ของหลวงปู่นี้มีอยู่มาก ไม่ค่อยมีใครเผยแพร่เนื่องเพราะครั้งท่านยังมีชีวิต ท่านไม่มีปฏิปทาในทางนี้ ไม่ชอบให้ใครในหมู่ลูกศิษย์เอาไปเขียน รวมทั้งผมท่านก็ไม่อนุญาตต่อเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ผมจึงกล้าเขียน และจะเขียนไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะนึกออก เพื่อเชิดชูคุณวิเศษที่ท่านมีอยู่มากมายจนประจักษ์แก่ใจแก่ตาตนเองมาตลอด
โปรดติดตามด้วยความระทึกใน หทัยพลัน
ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง วัตถุมงคล ซึ่งรณธรรม ธาราพันธุ์ บอกผมว่า มีคนบ่นไปทางเขาเยอะแยะอยากรู้ว่ามีอะไรของหลวงปู่เหลืออยู่ที่ผม ซึ่งมีทั้งที่ถามไปถึงผมโดยตรง แต่ก็ตอบไม่ได้ คงหวังแต่จะคอยรณธรรมให้ขึ้นไปอุบลฯ ไปค้นดู และทำบัญชีไว้และหาทางแจ้งให้ผู้สนใจต่อไป บางทีจะช่วยปลดภาระที่ต้องดูแลรับผิดชอบอยู่นานปี
พอดีคุณบัลลังก์ จูงสกุลนิรันดร์ ได้ขึ้นไปเยี่ยม และชี้แนะให้ผมนำ พระสมเด็จ รุ่นแรก ของวัดแก่งตอย ออกมาเผยแพร่ ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะว่าพระรุ่นนี้ดีมาก ใครยังไม่ลืมประวัติจะทราบ และคงไม่พูดถึงอีก นอกจากจะบอกว่าพระสมเด็จรุ่นนี้เป็นชุดพิเศษ มีจำนวน 147 องค์ เท่านั้น
พิเศษอย่างไร
1. เป็นพระไม่สวย จึงนำมาลงรักปิดทองให้ดูดีขึ้น
2. มีเกศาหลวงปู่ในขณะที่ชุดทั่วไปไม่มี
3. มีตรายางปั๊มด้านหลังไว้เพื่อแยกออกจากชุดทั่วไป
4. พระรุ่นนี้สร้างและเสกในปี 2537 เป็นของเก่า
ตกลงจะให้บูชาองค์ละ 450 บาท ใครสนใจเชิญได้
ไว้มีโอกาสจะโม้ให้ว่าพระรุ่นนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้ไม่อยากโม้มากเพราะว่าพระมีจำนวนน้อยเกินไป
เรื่องของหลวงปู่ ที่ยังมีค้างอยู่ ก็จะค่อย ๆ นำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปเท่าที่จะมีโอกาส เพื่อผู้ที่เคารพนับถือหลวงปู่จะได้รู้จักหลวงปู่ในอีกแง่หนึ่งซึ่งหาฟังได้ ยาก
สวัสดี
_________________________________
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร ศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 522 วันที่ 1 ตุลาคม 2547