กระทู้เก่าๆ ที่ค้างคาใจ ที่เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่มีความหมายสำหรับผม
สวัสดีครับ
ผมมีเรื่องติดค้างคาใจมาเป็นเวลา 4 เดือน สำหรับกระทู้นี้
ก่อนหน้าที่คุณเจิด จะมาอยู่ในกลุ่มบ้านเด็ก กับพี่โอม รัชเวทย์ ก็มีผลงานนิยายภาพเล่มละ1บาท อยู่มากมายครับส่วนใหญ่อยู่สำนักพิมพ์อักษรวิวัฒน์(สนพ.เทียนเทียน)
แถวๆโรงไม้ตรงภูเขาทองข้างล่างเป็นโรงงานทำเม็ดพลาสติก ด้านบนยังเป็นออฟฟิศรับงานต้นฉบับอยู่ในสมัยนั้น ต้องขออนุญาตเกริ่นเพราะที่นี่คือ ที่ๆผมขายได้เรื่องแรกในชีวิต!
จำได้ว่าตอนนั้นช่วงปลายๆปี 30 ราคาตอนนั้น 600 บาท อิ่มใจสุดๆครับ งานเล่มนั้นก็คือ การ์ตูนเล่มมุมขวาล่างที่เห็นในรูปครับ คนวาดปกไม่ใช่ใคร คุณเจิด นั่นเอง..!!
ถัดมาผมนำงานสวยๆที่แทรกอยู่ในหนังสือสวนเด็กบางส่วนมาให้ดูเพิ่มเติม เป็นงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เสียส่วนใหญ่ครับ ผมว่าเป็นงานที่เหมาะกับเค้าที่สุดล่ะครับ
จุดเด่นของคุณเจิดคือ สไตล์ที่บ่งบอกในความเป็นไทยได้อย่างดี บวกกับความแม่นยำและช่ำชองในการสเก็ตช์ ไม่ว่าในเรื่อง อานาโตมี่ ,แอ๊คติ้งที่ดูมีลีลาทั้งแข็งแกร่ง และอ่อนช้อย
รวมไปถึงมุมกล้อง และแสงเงา ที่สำคัญคุณเจิดคลี่คลายงานตัวเองจนมีลายมือชัดเจน จุดนี้ถือเป็นจุดสำคัญของอาร์ตติสน์ ครับ
ในงานช่วงแรกๆ จากการสังเกต คุณเจิดมีแรงบันดาลจากนักวาดเก่าแก่เชื้อสายสเปน นาม Jose’ Ortiz คนนี้ก็ต้นแบบให้นักวาดของไทยอยู่หลายคนครับ
เป็นงานแนวดรออิ้ง ไม่เน้นทีพู่กัน เน้นแสงเงาจัด งานดูรกๆ แต่อาร์ตสุดๆ สมัยนั้น อยู่ในหนังสือ พวก ช๊อค ,สยองขวัญ ,เขย่าขวัญ สมัยที่ยังเป็นเรื่องผีๆ สำนักพิมพ์อุดมศึกษา ,บันลือสาส์น ,มิตรไมตรี
ส่วนต้นแบบอีกหลายๆคนก็มีนะครับ ดังๆอีกคนเป็นชาวฟิลิปปินส์ นี่ถือว่า ขึ้นทำเนียบอันดับ 1 เลย ก็ Rudy Nebres เรื่องแสงเงา จังหวะการปล่อยที่ว่าง ถือว่าชั้นเทพ
ที่สำคัญคือ ทีเส้นพู่กันที่สวยงาม จังหวะการวาดต้นไม้ใบหญ้า แสงเงากล้ามเนื้อ ซึ่งมีอิทธิพลสูงต่อนักวาดนิยายภาพไทย หลายคนแม้กระทั่ง พี่เป็ด อำพลเจน..(งาน Rudy ที่พี่ส่งให้ผมไปศึกษาอยู่เล่มนึงยังเก็บอยู่นะครับ)
งาน Rudy ที่นักวาดนิยายภาพไทย ต้องมีติดชั้นหนังสือ ก็คือ ทาร์ซาน(หายากหน่อย) และ โคแนน.. ผมขออนุญาตเพิ่มเติมลิงค์ของงานทั้งคู่ให้ลองชมกันครับ เว็ปเยอะมาก ดูภาพจาก google ก็เหลือเฟือครับ
Rudy Nebres
Jose’ Ortiz
คุยถึงโปรฟายคุณเจิด ไปๆมาๆ ดันขุดรากถอนโคนเอานักวาดระดับโลก มาขโมยซีนไปเสียฉิบ ต้องกราบขออภัยไว้ด้วยครับ ผมนี่ประเภทบ้าข้อมูลน่ะครับ
คราวนี้มาถึงตัวผมกับ พี่เป็ด อำพล เจน สงสัยข้อมูลอันน้อยนิด พี่คงนึกไม่ออก ไม่เป็นไรครับ เพราะจริงๆ ผมเองก็ผ่านไปในเส้นทางชีวิตของพี่เป็ดนั้นถือว่าน้อยมาก แต่นึกแล้วเสียดายเวลาไม่หาย เพราะเข้าตำรา “ใกล้เกลือกินด่าง”
ผมเป็นคนจังหวัดนนทบุรี บ้านก็อยู่ใกล้พี่มานานหลายปีดีดัก สนใจวาดการ์ตูน นิยายภาพ ก็ตะเวนหาครูทั่วสารทิศ จังหวัดนนทบุรี แปลกอยู่อย่าง นักเขียนนิยายภาพนี่ อยู่กันมากมายจนน่าตกใจ ซึ่งผมมารู้เอาตอนหลัง หลังจากที่ตะเวนไปทั่วกรุงเทพ-ปริมณฑล
จนรู้จักนักเขียนนิยายภาพแทบหมด อาศัยรักจริง เข้าไปคลุกคลี แล้วถามถึงคนโน้นคนนี้ ต่อๆกันไปเรื่อย จนกระทั่ง พบกับ พี่ธนู(ธนู เจน) และพี่ยงค์(ดอกคูณ) ช่วงนั้นพี่ทั้ง2เช่าห้องพักอยู่ด้วยกัน ระแวกเดียวกับพี่ วิทย์(สุวิทย์ สิทธิโชค ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว)อยู่ย่านบางพลัดใกล้ สนพ. จินดาสาส์น ซึ่งยุคนั้นเป็นยุคเฟื่องฟูสุดๆยุคหนึ่ง คล้ายในยุคบางกอกสาส์น เพราะจินดาสาส์นเป็นศูนย์รวมมือนักวาดพระกาฬระดับแถวหน้า ไว้ที่นั่นหมด เราคุยถึงพี่เป็ดจนรู้ว่าบ้านอยู่ซอยเดียวกับผมนี่เอง
..พี่ยงค์บอกว่าบ้านหาไม่ยากหรอก มีชื่อติดอยู่หน้าบ้านเลย และหมู่บ้านชัยวิวัฒน์นั้น ผมก็ขี่จักรยาน เข้าออก บ่อยๆ แต่ไม่เคยสังเกต บ้านที่มีชื่อ อำพล เจน อยู่ที่ประตูรั้วเลยซักครั้ง จนเย็นวันหนึ่ง ก็ต้องตัดสินใจด้วยความประหม่าขี่จักรยานลุยไปขอพบและขอคำแนะนำจากพี่ ถึงบ้าน
ช่วงนั้น เป็นช่วงที่พี่เป็ด”ท๊อปฟอร์ม”ครับ ส่วนผมเพิ่งขายงานได้ไม่เท่าไหร่ ช่องว่างระหว่างเราห่างกัน แบบสวรรค์-บาดาล ผมไม่สามารถจะซึมซับอะไรจากพี่ได้มากนัก นอกจากตาโต ขนลุก หัวใจเต้นเร็ว ยิงคำถามไม่ถูก
พี่ให้ผมไปยกเก้าอี้หวายหน้าบ้านเข้าไปนั่งคุยกันในห้องทำงาน ซึ่งพี่เองยังบ่นว่า ช่วงนี้หลังไม่ค่อยดี
..ตอนนั้นบนโต๊ะพี่ มีต้นฉบับ “เกียรตินักเลงดาบ” วาดลงนิตยสารนวลนาง ซึ่งเป็นตอนหลังๆ ช่วงดราม่าช่วงหนึ่ง เป็นตอนที่นางเอกนอนอยู่ที่กระท่อม ด้วยความเป็นห่วงคนรัก กับพลพรรคที่รวมตัวกันครบ 7 พร้อมบู๊กับพวกโจร ซึ่งเป็นไคลแมกซ์สุดท้ายก่อนปิดฉาก…
…และ ไม่ได้คิดว่าจะรวมไปถึงการปิดฉากการวาดนิยายภาพอย่างต่อเนื่อง ของพี่…?
พี่ใช้พู่กัน ราฟาเอล ด้ามสีส้ม เบอร์ 4 หรือ 6 นี่จำไม่ได้(ไม่น่าพลาด) ซึ่งมีอิทธิพลให้ผมตามรอยเซียน เปลี่ยนมาใช้ตามจากที่ใช้ พู่กันจีนจากย่านวงเวียน22 ซึ่งก็ตามรอยเซียนหลายเซียน ที่แนะนำให้ไปซื้อใช้เป็นมาตรฐาน
…….สองถึงสามครั้งหลัง ที่ผมเข้าไปหาพี่ หัวข้อสนทนามีไม่มาก ด้วยความเกรงใจของผม บวกกับระยะเวลาสั้นๆ ที่การพัฒนาเรื่องของผลงานของผมมันก็ยังไม่มีความชัดเจนนัก รวมไปถึงการที่ผมอยู่ในช่วงที่เรียนปวช. และวาดการ์ตูนไปด้วย
พี่ส่งหนังสือเขย่าขวัญ ข้างในมีนักวาดหลายๆ รวมไปถึง Rudy Nebres ซึ่งพี่บอก เอาไปศึกษาดู แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ ที่ทำให้ผมตะลึง หัวใจเย็นวาบ พี่ยื่นต้นฉบับขนาดใหญ่ให้ผม 2 หน้า เป็นงานที่วาดลงนิตยสาร “แปลก” คงอธิบายความรู้สึก ของวันนั้นได้ยาก
…..ผมเริ่มตามเก็บผลงานที่ตีพิมพ์ของพี่ ตามแหล่งหนังสือเก่า รวบรวม ทั้งแปลก มหัศจรรย์ นวลนาง ซื้อหนังสือ ทั้งเล่มเพื่อที่จะเอางานนิยายภาพเพียงแค่ 2 หน้า แล้วฉีกเก็บ
ต้องขออ้างอิงบุคคลหนึ่งที่เก็บมาก่อน แล้วมากกว่าผม คือ พี่แดน สุดสาคร แต่พี่เค้าตามเก็บจากหนังสือนวลนางที่วางแผงใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่ค่อยลำบากมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการรวบรวมแบบสุดยอด
ซึ่งผมว่าคงไม่มีใครเก็บได้สมบูรณ์แบบเท่าพี่แดนอีกแล้ว แม้แต่ สนพ. เองก็เถอะ…!!
แต่อีกหนึ่งความล้ำค่าของผม คือการเก็บ ต้นฉบับ และงานที่ตีพิมพ์แล้ว มาอยู่ด้วยกันนี่สิครับ….ฝรั่งถือว่า 1 เดียวในโลกครับ ใน Ebay นี่ประมูลกันแบบเห็นตัวเลขแล้วจะตกใจ เอาเล่นๆแค่ต้นฉบับ ของ Rudy บางหน้า นี่ก็ล่อไป US $995.00 ก็ 30,000 อัพล่ะครับ
แต่ที่ผมเก็บนี่ ก็ไม่ได้คิดเป็นมูลค่าราคาอะไรหรอกนะครับ มันเป็นสิ่งที่บอกถึง ที่มาที่ไป และความรู้สึกอะไร หลายๆอย่าง ที่เงินนี่ซื้อไม่ได้เลยครับ
อนึ่ง…ผมต้องกราบของโทษพี่ด้วยที่ไม่ได้เก็บรักษาไว้ดีเท่าที่ควร ผมไม่ชอบใส่กรอบ เพราะรู้สึกสัมผัสไม่ได้ ยังไงไม่รู้ และด้วยความที่ข้าวของมากบวกกับการย้ายที่อยู่ ทำให้เสียคุณค่าไปมากพอสมควรเลยทีเดียว
ต้นฉบับ 2 หน้าที่ได้รับจากพี่คือเรื่อง “อิสระภาพของทาส” ตีพิมพ์ ลงในนิตยสาร แปลก วาดไว้เมื่อราวปี 31 เป็นงานแค่ 22 หน้าจบ ซึ่งเท่ากับตีพิมพ์ลงนิตยสาร อยู่ที่ 11 เล่ม
อีกหนึ่งเรื่องเป็นอานิสงฆ์ ที่ได้มาด้วย คือ “ไอ้ขุนพัน นักล่าไม่เคยพลาด”
งานเรื่องนี้อยู่ที่ 16 หน้าตีพิมพ์ 8 เล่ม แต่ 2 เล่มสุดท้าย ไม่ทราบด้วยเหตุประการใด จึงกลายเป็น พี่สกนธ์ แพทยกุล มาต่อให้จนจบ
ผมเจอพี่เป็ดครั้งสุดท้าย ตอนเย็นวันหนึ่งหลังจากที่กลับจากเรียน ที่ปากซอยวัดบัวขวัญ ซึ่งเป็นจุดรอรถสองแถวเข้าซอยบ้านเรา ผมติดงาน 2 เรื่องที่เก็บแล้วเย็บเล่มนี้ไว้ด้วยบ่อยๆ แม้ว่าจะไปเรียน
เราคุยกันนิดหน่อย ก่อนรถออก ด้วยความประหม่าหรืออย่างไรจำไม่ได้ ผมได้แค่บอกว่าเก็บผลงานของพี่ไว้
แต่ก็มิได้เปิดให้ดู มาคิดในเวลานี้ ผมว่ามันน่าจะสร้างความรู้สึกถึงความเอาจริงเอาจัง ให้พี่ได้เห็นและน่าชื่นชม ในความอุตสาหะ ในการรวบรวมผลงานเก่าๆที่กระจัดกระจายมาได้จนจบ
….ยังมีเรื่องระทึกใจเกี่ยวกับเรื่องผลงานสองเล่ม ที่มีเหตุต้องถูกรวมเป็นของ “โละทิ้ง” จากความสะเพร่าของหลานผมที่บ้านเก่า ของในลิ้นชักโต๊ะทำงานบ้านเก่าทั้งหมดถูกขนให้คนดูแล อพาทเม้นต์ที่รับโละของเก่าในซอย และย่อยเป็นขยะในช่วงข้ามคืน
…ผมนั่งน้ำตาร่วงหมดอาลัยกับสมบัติทุกชิ้น จนแม่ผมต้องเดินไปถามหา..และ “แปลก” สมชื่อนิตสาร..!! แม่ผมเดินกลับมาพร้อม งาน 2 เล่มนี้ เดชะบุญที่ยังรอดจากรถขยะ เพราะด้วยความที่เห็นว่าเป็นงานเย็บเล่มเก็บไว้อย่างสมบูรณ์
ประกอบกับความบังเอิญที่มีนักเขียนนิยายภาพ 5บาท อาศัยอยู่บนอพาตเม้นท์แนะนำว่าให้เก็บเอาไว้…เพราะดูจากการเก็บงานแบบนี้ดูจะไม่ ธรรมดา!
..งานนี้ผมได้รู้จักกับเพื่อนร่วมอาชีพ คนใหม่อีกคนหนึ่ง จากผลพวกแห่งความสูญเสียของรักที่เก็บมานาน เรื่องนี้เกิดขึ้น ไม่นานจากที่ผมโพสกระทู้แรกเอาไว้.. และเกือบเป็นเหตุให้กระทู้นี้ไม่เกิดขึ้น..
……ผมอยู่แวดวงนิยายภาพจนพบได้รู้จักปะรุ่นพี่มากมายเกือบทุกคน จนหลังปี 35 ผมรวมทีมและผันเข้าสู่แวดวงของ Comic ซึ่งเป็นตลาดของกลุ่มการ์ตูนญี่ปุ่น ถือว่าสร้างความฮือฮาได้มากมายในยุคนั้น หลายปีให้หลังการพัฒนาของแวดวง ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าที่ควร
เรายังทำงานแบบตาบอดคลำช้าง ประกอบกับที่ไม่ได้รับการผลักดันจากองค์กรณ์(ซึ่งจะว่าไป ทุกวันนี้ก็ยังไม่หนีจากที่กล่าว) หลายๆคนขยับขยายสาขาอาชีพออกไป ซึ่งรวมทั้งผม แต่การ์ตูน และนิยายภาพ ก็ยังถือว่า เป็นสายเลือด ที่ยังหยิบจับอยู่ไม่ห่าง
ผมเก็บเกี่ยวความรู้ และทำมาหากินอยู่ในสายไอที ผสมกับ การเป็น อาร์ตไดเรคเตอร์ อยู่ บริษัทเล็กๆ ทำเกี่ยวกับงานโฆษณาและอีเวนท์ แห่งหนึ่งในปัจจุบัน ควบคู่กับการรับงานการ์ตูนหนังสือเด็ก และงานสตอรี่บอร์ด เป็นฟรีแลนท์
เป้าหมายก็ยังอยากนั่งวาดการ์ตูนเต็มเวลา ไม่ต้องผจญปัญหาผู้คน จริงๆปัญหาเดิมของนักวาด ก็คือการเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัว ถึงแม้ทิศทางในปัจจุบัน จะดูมีปลายทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังถือว่าเหนื่อยและต้นทุนสูงอยู่มาก เพราะอุปสงค์และอุปทานยังห่างกันมหาศาลสำหรับบ้านเรา
ปัจจุบันผมย้ายมาอยู่ย่าน ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร9 (ประเวศ-อุดมสุข) สมรสแล้ว มีลูกชายวัย4ขวบครึ่ง 1 คน ดูแววแล้วไม่แคล้วทายาทกระสือครับ เพราะจังหวะลายเส้น มันแม่นยำตั้งแต่ 3ขวบ หวังว่าในยุคของเขาถ้าเดินสายนี้ คงจะได้นั่งทำงานเลี้ยงชีพอย่างมีความสุข
………ในส่วนของพี่เป็ด ถึงแม้จะเป็นช่วงเล็กๆ ที่มีเด็กคนหนึ่งผ่านเข้าไปในชีวิต ดูเหมือนผ่านๆไปตามกาลเพราะก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นในช่วงนั้น ต้องขออนุญาตนำความภูมิใจเล็กๆมาฝากครับ ว่าเด็กคนนั้นได้เดินทางผ่านเส้นชัยในสายงานของยุคหนึ่ง
ด้วยคำพูดของพี่ที่ยังจำได้ครับ “พยามทำงานให้ดี…เอาให้ดีกว่าคนอื่น”
สุดท้ายของกระทู้นี้.. ต้องขอขอบคุณ โลกไซเบอร์ และความซอกแซกของผม ที่ทำให้หูตากว้างเปิดกว้าง ซึ่งแม้แต่ Rudy Nebres ที่ชื่นชมผลงานมากว่า 20 ปี ผมก็เชื่อพี่น้องอาชีพเราก็ไม่น่าจะมีใครได้มีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตา
…..ขอกราบขอบคุณคุณพี่ zhant ที่ จุดประกายทุกสิ่งจนเกิดกระทู้ระลึกชาติ ของผม และทำให้เกิดปฏิกริยาลูกโซ่ ต่างๆ ดังที่เห็น ถ้ามองในแง่ธรรมมะ… มันไม่ใช้เรื่องบังเอิญ นะครับพี่.!
…..ขอกราบขอบพระคุณพี่ๆร่วมอาชีพทุกท่านและพี่เป็ด อำพลเจน ซึ่งที่ผมได้ผ่านไปในชีวิตผมถือว่าเป็น”ครู”ทุกท่านครับ
กระทู้นี้คงเป็นแค่น้ำจิ้ม(ถ้วยใหญ่ๆ) สำหรับโอกาสต่อไป จะได้พบปะสนทนาอัพเดทข่าวสาร ผมยินดีเป็นธุระให้เต็มที่ครับ
นิวัติ สิงห์สมาน
ปล. ผมพบพี่เป็ดครั้งสุดท้ายที่ท่ารถสองแถวปากซอย………ผมพบ อาจารย์จุก เบี้ยวสกุล ครั้งสุดท้าย(จากที่พบกันหลายครั้ง) ที่ป้ายรถเมล์ปากซอย(หน้าห้างบางลำพูงามวงศ์วาน) แต่ครั้งนั้นสำหรับ อ.จุก ถือเป็นสุดท้ายในชีวิต จริงๆ ….
อำพล เจน ตอบ
คุณนิวัติ
คุณทำให้ผมน้ำตาไหล
ผมลืมชีวิตของการเป็นนักเขียนการ์ตูนไปนานแค่ไหนก็บอกไม่ถูก
กระทั่งเซียร์(ไทยรัฐ)มันก็ยังว่าผม
“คุณมัวแต่ไปสร้างพระกับขายพระ คุณเลยลืมการ์ตูนกับนิยายภาพ”
ผมอยากคุยและอยากเจอคุณอีกนะ
ตอนนี้ผมยังไม่หายป่วยดี
ขออภัยคุณด้วย