หลวงปู่ ทองรัตน์ กนฺตสีโล2
ความรู้เห็นอันแจ่มใส
หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง สมัยยังดำรงสังขาร เคยชวนข้าพเจ้าบวช3ครั้ง 3วาระ ชวนที่วัดหนองป่าพง2ครั้ง ชวนที่วัดถ้ำแสงเพชร1ครั้ง ข้าพเจ้ารับปากว่า”ครับ”ทุกครั้ง แต่ในใจกลับปฏิเสธ หลวงพ่อก็หัวเราะทุกครั้งเหมือนกัน
เมื่อไม่ได้บวช, หลวงพ่อก็เมตตาสั่งไว้ว่า
“อำพล ถ้าเจ้าจะบวช ให้ไปหาบวชกับครูบาอาจารย์เก่งๆนะ”
ผมไม่เคยเข้าใจว่าครูบาอาจารย์เก่งนั้นเก่งแบบไหนอย่างไร
ทุกวันนี้พอเข้าใจบ้างว่า ถ้าเป็นครูบาอาจารย์เก่งๆก็ต้องเก่งถึงขั้นมีความรู้ความเห็นอันแจ่มใส
รู้อะไรเห็นอะไร
รู้เห็นว่าลูกศิษย์ทำอะไรผิด ไม่ว่าจะผิดอยู่ในที่ลับหรือที่แจ้งก็รู้ แม้ลูกศิษย์แค่คิดถูกคิดผิดอยู่ในใจก็ยังรู้
อย่างเช่นหลวงปู่มั่นนอนให้เณรน้อยนวดขาเงียบๆอยู่ในกุฏิ, พระอาจารย์มหาปิ่นพำนักไกลออกไปถึงตีนเขา(ยังอยู่ในเขตวัด)เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า ตัวท่านเองเรียนมามากจนเป็นมหา ทำไมต้องมาอยู่ป่าให้ลำบาก ต้องมาเชื่อฟังพระที่ไม่ได้เรียนอย่างหลวงปู่มั่น เท่านั้นแหละครับ หลวงปู่มั่นลุกพรวดพราดขึ้น คว้าไม้ท่อนหนึ่ง เดินดุ่มๆไปจนถึงกุฏิพระอาจารย์มหาปิ่น เอาไม้กระทุ้งพื้นกุฏิปังๆ แล้วแผดสุรเสียงว่า
“ทำไมท่านจึงได้นึกประมาทเราเช่นนี้”
พระอาจารย์มหาปิ่นตกใจ ลนลานจากกุฏิมากราบแทบเท้าหลวงปู่มั่น
หลังจากนั้นไม่เคยคิดประมาทหรือสงสัยอะไรในตัวหลวงปู่มั่นอีกเลย
ครั้งหนึ่งลูกศิษย์หลวงพ่อชา3-4รูปนั่งคุยกันอยู่มุมหนึ่งของวัดหนองป่าพง หัวข้อคุยคือสงสัยว่าหลวงพ่อชาเป็นพระระดับไหน สูงต่ำยังไง สำเร็จแล้วหรือไฉน
พระรูปหนึ่งก็ว่าจะรู้ได้ยังไง ทางเดียวที่จะรู้ก็ต้องถามหลวงพ่อเอง แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ถาม ต่างสรุปว่าต้องเป็นหลวงพ่อมหาอมรเท่านั้นที่ยังพอจะมีความกล้าหาญไปถาม
กำลังคุยเพลิน เณรน้อยรูปหนึ่งก็เดินมาหา บอกว่าหลวงพ่อให้มาเรียกพระทุกรูปที่นั่งคุยกันอยู่นี่ไปหาที่กุฏิ
เมื่อไปถึงหลวงพ่อกล่าวสั้นๆว่า
“คนเรานี่มันแปลกนะ ชอบอยากจะรู้จักว่าห่อข้าวของคนอื่นมีอะไร ห่อข้าวของตัวเองไม่ยักดู”
นี่แหละครับ
ถ้าเราได้บวชกับครูบาอาจารย์เก่งๆ ?
ครูบาอาจารย์แบบนี้แหละถึงจะสามารถกำกับเราได้
ไอ้เรื่องสอนลูกศิษยลูกหาสอนญาติโยมเก่งกาจพิสดารจนขึ้นชื่อว่าเป็นพระนักเทศน์น่ะมีเยอะแยะ สอนเก่งจนคนเขาเลื่อมใสใหญ่โตแต่ลูกศิษย์ของตนแอบดูหนังโป๊อยู่ในกุฏิยังไม่รู้เรื่องเลย
ในความหมายของครูบาอาจารย์ที่เก่งๆอย่างหลวงพ่อชาสั่งไว้ แค่คิดลามกในใจท่านก็สวนเปรี้ยงออกมาแล้วครับ
ทุกวันนี้ครูบาอาจารย์เก่งๆแบบนี้มีไหมล่ะ?
ไม่รู้สิ!
หลวงปู่ทองรัตน์นี่แหละคือพระอาจารย์เก่งๆในความหมายของหลวงพ่อชา
คราวหนึ่งพระเทียบเพิ่งบวชใหม่ โยมพ่อโยมแม่กลัวว่าจะมีความลำบาก จึงมาดักใส่บาตรด้วยกับข้าวพิเศษ
หลวงปู่ทองรัตน์เดินนำหัวแถว พระเทียบเป็นรูปสุดท้าย ตั้งแต่หลวงปู่เป็นองค์แรกที่รับข้าวเปล่าๆทุกองค์เรื่อยมาตามลำดับก็รับข้าวเปล่า ครั้นพอถึงพระเทียบโยมแม่เอาไก่ย่างที่ซ่อนไว้ใส่บาตรให้
พระเทียบเล่าว่า ดีใจที่ได้ไก่ย่าง ตั้งใจจะแอบเอาไว้ในบาตรไม่ให้ใครเห็น จะได้ฉันให้อร่อยคนเดียว
ปกติพระกัมมัฏฐานสายนี้ เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว จะเอาเอาบาตรไปเทอาหารรวมกันที่โรงครัว แล้วค่อยนำอาหารมาแบ่งกันฉันให้เหมือนกันทุกองค์
มีเพียงไก่ย่างเท่านั้นที่ซ่อนไว้ไม่เทออกไปรวมกับใครเขา
ถึงเวลาฉัน หลวงปู่ก็เอะอะขึ้นกลางที่ประชุมให้ได้อายเหมือนทุกครั้ง
“เฮ้ยๆ มื้อนี้ท่านเทียบได้อาหารพิเศษกว่าหมู่เว้ย”
พระเทียบว่ารู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินนี้ หลังจากนั้นไม่กล้าประพฤติอีก
ปลูกศรัทธาด้วยการเห็นอันแจ่มใส
ครั้งหนึ่งสองผัวเมียนำอาหารมาถวายพระที่วัดของหลวงปู่ เมียสะพายกระติบข้าวเหนียวกับหม้ออาหารเดินนำหน้า ผัวคอนหาบมะพร้าวอ่อนกับแตงไทยเดินตามหลัง
ระหว่างทางปวดปัสสาวะกระทันหัน มองดูรอบๆแล้วเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น ทั้งเมียก็อยู่ข้างหน้าหันหลังให้ไม่เห็น ตัดสินใจถลกขากางเกงยืนเยี่ยวโดยไม่ต้องวางหาบอยู่ข้างทางนั้นเพราะเหลือจะอั้นไหว
เมื่อไปถึงวัด เข้าศาลา นั่งลงเรียบร้อย หลวงปู่ก็กล่าวว่า
“จะเยี่ยวจะขี้ให้วางหาบก่อน ทำยังกะวัวกะควายแน่ะเว้ย”
เมียก็งงๆไม่รู้เรื่อง แต่ผัวอึ้งไป
ของดีกับของเลว
โยมอุปัฏฐากหลวงปู่ท่านหนึ่งชื่อว่ามีหรือเรียกตามปากอีสานว่าพ่อใหญ่มี แกคอยสังเกตว่าหลวงปู่ให้ปริศนาหรือให้หวยคนอื่นจนถูกกันมานักต่อนัก แต่ไม่เคยให้ตนเอง ก็เลยน้อยใจ
“ครูบาอาจารย์ให้แต่ตัวดีคนอื่น ทีผมไม่ยักให้”
หลวงปู่กล่าวดุๆว่า
“ไม่รู้หรือว่าของดีกับของไม่ดีมันต่างกันยังไง อยู่กับของดีทุกวันไม่รู้จักเอา จะเอาแต่ของไม่ดี พ่อใหญ่มีไม่เข้าใจรึ ที่พวกเขาได้ไปน่ะคือได้อบายมุข ไม่ได้อรรถไม่ได้ได้ธรรม พ่ออยากได้นักหรืออบายมุขนั่น?”