หลวงปู่ปืนแตก
หลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน
วัดชอนสารเดช กิ่ง อ. หนองม่วง จ.ลพบุรี
เพิ่งได้รูปตัวอย่างเหรียญจริงที่ได้ทดลองยิงจนปืนแตกมาลงให้ดูกัน
เป็นเหรียญเงิน
เดี๋ยวนี้ราคาแพงขึ้นมาก ซึ่งก็เป็นธรรมดาสำหรับเหรียญที่มีประสบการณ์ และมีผู้ต้องการมาก
เหรียญเงินตอกโค้ดที่ชายริบบิ้น 2 แห่ง
เหรียญทองแดงตอกแห่งเดียว
ที่ชายริบบิ้นด้านซ้ายมือขององค์หลวงปู่
จริง ๆแล้วเหรียญเงินยังมีโค้ดแปลก ๆ ที่พื้นเหรียญเหนือไหล่ขวาของหลวงปู่อีกแห่ง ลักษณะของโค้ดตัวนี้คล้ายตัว T ถ้ามองผิวเผินจะดูเหมือนรอยบากเล็ก ๆ ที่เป็นตำหนิมากับเหรียญ
ในเหรียญทองแดงบางเหรียญก็พบว่ามีโค้ดตัวนี้ด้วย
แต่ส่วนใหญ่จะไม่มี
เหรียญทศบารมี 38 ที่ ส.ต.อ.ชัยวัฒน์ นามวรรณ หน่วยสืบสวนพิรุณ สภ.อ.อุดรธานี ยิงจนปืนของตนแตกคามือนี้ เข้าใจว่าเป็นเหรียญรุ่นที่ 4
ผู้สร้างเป็นพระภิกษุมาบวชอยูที่วัดชอนสารเดช มีศรัทธาสร้างถวายวัด สร้างสำเร็จแล้วตัวท่านก็จากวัดไป ซึ่งผมลืมถามไปว่าที่จากไปนั้น จากแบบไหน ย้ายไปอยู่วัดอื่น หรือว่าลาสิกขา
น่าจะเป็นอันหลังคือลาสิกขา
เหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่เปลี้ย สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2518 เป็นเหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดงรมดำ ด้านหน้าเหรียญตอกโค้ดตัว “นะ” ที่เป็นอักขระขอมไว้ใต้องค์หลวงปู่ (ดูรูปตัวอย่าง)
เหรียญรุ่น 2 รุ่นรวยทรัพย์ รูปไข่คล้ายรุ่นแรก ได้ยินว่าสร้างในปี 2537
ถ้าจริงดังที่ได้ยินมาผมสงสัยว่า 19 ปี ที่ผ่านมาจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยหรือ
ดังนั้นเกี่ยวกับเหรียญรุ่น 2 เราอย่าเพิ่งด่วนสรุป ไว้วันหลังค่อยว่ากันใหม่ แต่อนุโลมให้ถือเป็นเหรียญรุ่น 2 ที่สร้างหลังรุ่นแรก 19 ปีไปก่อนเพื่อสะดวกต่อการลำดับรุ่น
เหรียญรุ่น 3 นี่ยิ่งกำหนดยากใหญ่ เพราะว่าออกในปี 2537 เหมือนกัน
ทำเป็นรูปเหรียญเจ้าสัวและยังมีเหรียญรุ่นรู้พระคุณ
แล้วก็รูปเหมือนลอยองค์รุ่นสร้างกำแพง
ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าเป็นเหรียญรูปเหมือนลอยองค์รุ่นแรกหรือเปล่า
การกำหนดรุ่นเพื่อนักสะสมจะเรียกคล่องเห็นทีจะต้องรอการกำหนดต่อไป
ไว้ให้ผู้ที่รู้เรื่องวัตถุมงคลที่แท้จริงของหลวงปู่ออกมาแสดงความรู้อีกที
ผมรู้อยู่รุ่นเดียวแหละครับ
รุ่นปืนแตก
รู้จักรุ่นนี้แล้วรุ่นอื่นไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร
มีผู้เล่าให้ฟังว่า คราวหนึ่งมีคณะผ้าป่ามาทอดที่วัด ไม่มาเปล่า แต่สร้างหนุมานมาขอท่านปลุกเสกเพื่อแจกผ้าป่าด้วย ท่านเสกให้แล้วแอบเอาไปทดลองดู
ยิงไม่ออกเลย
ดูท่าท่านจะเป็นพระขลังที่หาตัวจับยากอีกรูปหนึ่งในพ.ศ. นี้
——-
เกี่ยวกับเรื่องของขลังของท่านนั้น เดิมเข้าใจว่าท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ ครั้นสอบถามและกราบนมัสการถามกับท่านเองแล้วปรากฏว่า ไม่ใช่
คือหลวงพ่อเดิมเป็นสหายกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดชอนสารเดชรุ่นก่อน จึงเดินทางไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ หลวงพ่อเดิมมาที่วัดชอนสารเดชบ่อย ๆ ซึ่งหลวงปู่เปลี้ยได้อธิบายว่าสมัยท่านยังเป็นพระเด็ก ๆ ก็ได้เห็นหลวงพ่อเดิมเสมอ
แต่ก็ไม่ได้เรียนวิชาอาคมด้วย
หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดชอนสารเดช รุ่นก่อนที่ผมดันลืมชื่อของท่านไป
ตอนที่คุยกับหลวงปู่เปลี้ยก็ไม่ได้อัดเทปเอาไว้ พอเวลาเคลื่อนมาหน่อยก็ลืมเสียเฉย ๆ
น่ากลัวจะเป็นอาการของโรคชราที่มาเยือนเร็วไปนิด
ผมเพิ่งจะ 42 เอง ใครว่าผมแก่จะแสดงให้ดูว่าหนุ่ม ๆ บางทีก็สู้ผมไม่ได้
ห้ามดูเส้นผมเพราะว่าหงอกแล้วหลายเส้น
ถึงยังงั้นก็ไม่ถึงกับจะต้องรมดำเส้นผมหรอกครับ
ดูเหมือนจะนึกออกเป็นเลา ๆ ว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสรุ่นก่อน ชื่อหลวงพ่ออ่อน ถ้าผิดก็อโหสิด้วย
สมมติชื่อหลวงพ่ออ่อนนั้นถูกต้อง ต่อไปก็จะเรียกหลวงพ่ออ่อนไปก่อน
หลวงพ่ออ่อนเป็นพระไม่ค่อยพูด ท่านมีวาจาสิทธิ์
แช่งใครแล้ววิบัติตามปากทุกราย
สมัยปลายชีวิตเต็มที ท่านได้เรียกหลวงปู่เปลี้ยมาพบถามว่า จะครองวัดต่อไหม ถ้าเอาจะมอบของให้รักษาต่อไป
ของนั้นคือตำราเล่มใหญ่
สรรพวิชาทั้งหลายมีอยู่ในนั้นทั้งหมด
หลวงปู่บอกว่าได้อาศัยเล่าเรียนจากตำราที่ท่านหลวงพ่ออ่อนมอบให้และได้นำเอาวิชาความรู้เหล่านั้นมาทำประโยชน์จนทุกวันนี้
มาดูกันว่าอักขระยันต์ที่ลงไว้หลังเหรียญของท่านทุกรุ่น เป็นยันต์เดียวกับที่หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพใช้ประจำ
เมื่อไม่ได้เรียนกับหลวงพ่อเดิมทำไมท่านจึงรู้จักใช้ยันต์ตัวเดียวกัน
เดาว่าหลวงพ่ออ่อนกับหลวงพ่อเดิมควรจะได้แลกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกัน แล้ววิชาเหล่านั้นหลวงพ่ออ่อนก็บันทึกไว้ในตำรา
ครั้นหลวงปู่เปลี้ยเรียนออกมาจากตำรา ท่านคงไม่ทราบว่ายันต์นั้นเป็นของหลวงพ่อเดิมหรือเป็นของใคร
คงทราบแต่ว่าท่านเอามาจากตำรา
เรื่องนี้ใครช่างซักช่างพูดก็ค่อยไปกราบเรียนถามหลวงปู่อีกที
ถ้าได้ความเป็นอื่นไปจากที่ผมเดาก็อโหสิอีก
ไม่ว่าจะเอายันต์มาจากไหน หรือเป็นยันต์ของใคร ผมว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
มันอยู่ที่พลังจิตตัวเดียวที่สร้างขลัง
หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เคยบอกว่าคาถาอาคมเป็นแค่กุศโลบายอันหนึ่ง
ของแท้จริงคือจิต คาถาอาคมไม่ใช่ของแท้
ถ้าคาถาอาคมเป็นของขลังที่แท้จริง
ใครท่องคาถาแล้วจะต้องเห็นผลขลังทุกรายซีครับ
บางคนสวดเรียกลาภอยู่ทั้งปี หวยแค่สองตัวท้ายยังไม่เคยถูกก็มี
คาถานั้นเห็นจะเป็นประหนึ่งอุบายทำให้จิตเป็นสมาธิน้อย ๆ เรียกให้ศรัทธาความเชื่อในคาถาเกิด
มันก็คลานเข้าไปถึงจิตในที่สุด
แต่คนที่จะสวดคาถาแล้วขลังนั้นไม่ใช่ทุกคนแน่ ๆ
ดังนั้นเรื่องคาถาหรืออักขระยันต์ก็ให้เป็นกุศโลบายของครูบาอาจารย์ไป ท่านรู้จักใช้ของท่านเท่านั้น
เรื่องอักขระยันต์จึงไม่ใช่ข้อสรุปเสมอว่าหลวงปู่เปลี้ยจะเป็นศิษย์โดยตรงของหลวงพ่อเดิมดังที่หลายคนเข้าใจ
ท่านจะเป็นศิษย์ใครผมไม่ว่าอะไรเหมือนกัน
รู้แต่ว่าหลวงปู่เปลี้ยขลังอย่างเดียวก็พอ
—————-
เรื่องประวัติของหลวงปู่ทุกองค์ ผมไม่ใคร่จะกระตือรือร้นสืบค้นออกมา เพราะนึกเสมอว่า ถ้าผมเป็นคนเขียนประวัติคนอื่น ยังไงก็เขียนผิดแหง ๆ
หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านจึงเขียนประวัติท่านด้วยตนเอง
ท่านบอกว่าเดี๋ยวคนอื่นมันเขียนก็จะผิดกันไปใหญ่
เรียกว่าพอถึงตอนหลวงพ่อหลวงปู่ธุดงค์เข้าป่า คนเขียนก็พาลหลงป่าไปเลย
บางคนหาทางออกไม่พบก็มี
หนักข้อเข้าถึงกับรู้ละเอียดว่าหลวงพ่อหลวงปู่ท่านบำเพ็ญจิตแบบไหน
สภาวะธรรมอันใดคนเขียนตามจิตพวกท่านไปได้แบบเงาตามตัว
หลงขนาดนั้น
นึกเผลอ ๆ ไปว่าคนเขียนควรจะสำเร็จธรรมนั้นเสียเองดีกว่า
ผมจึงไม่ค่อยจะเน้นเรื่องประวัติหลวงปู่ทุกองค์ที่ผมเลื่อมใสศรัทธา
เอาปัจจุบันเป็นดี
ถามตนเองว่าต้องการอะไร
ของขลังรึ
งั้นเอาของขลังเป็นหลัก เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ
เวลาท่านเทศน์ให้ฟังทางหูซ้าย แล้วเอาหูขวาไว้เป็นทางทะลุออก
ก็จะเอาของขลังนี่ครับ
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าคนเขียนประวัติคนอื่นจะทำผิดพลาดกัน ทั้งหมดนะครับ คนที่ทำได้ดีก็มีเยอะ แต่ข้อผิดพลาดย่อมมีทุกคน
ผิดน้อยก็ดีที่สุด
ส่วนผมเห็นจะเป็นคนที่เขียนประวัติคนอื่นได้แย่สุดสุด
นึกถึงประวัติตนเองแท้ ๆ ยังนึกเขียนไม่ค่อยจะถูกเลย
อโหสิแก่ผมอีกข้อหนึ่ง
ประวัติหลวงปู่เปลี้ยจึงไม่มี ถ้ามีก็จะเป็นเกร็ดเป็นเหตุการณ์เฉพาะอย่าง ๆ ไป
ดังนั้นท่านที่ขอให้ผมเขียนประวัติหลวงปู่เปลี้ย คงต้องรอคนอื่นแล้วครับ
ทุกคนเขาว่าควรมีจุดยืน ผมก็มีในเรื่องของขลังนี่แหละครับ ยืนแล้วไม่รู้ว่าว้าเหว่หรือเปล่า แต่เท่าที่สังเกตดูคนชอบยืนในจุดเดียวกันนี้มีไม่น้อย
ผมไม่เหงาแน่ ๆ คนอื่น ๆ ก็ไม่ต้องกลัวเหงา
ให้นึกถึงเพื่อนร่วมยืนคนหนึ่งคือผม
ผมโลดไปหาหลวงปู่เปลี้ยก็เพราะเรื่องของขลังจริง ๆ
ถ้าไม่มีเรื่องปืนแตกผมจะรู้จักหลวงปู่ตรงไหน
ลำพังเรื่องธรรมะจากหลวงปู่เปลี้ย ถ้าท่านไม่เทศน์เข้าทางหูขวาผมเป็นอันเสร็จ เพราะว่าหูซ้ายของผมท่านจะเทศน์ไม่เข้า
ก็มันตึง
เมื่อเทศน์ไม่เข้าก็ไม่ต้องทะลุ
ถ้าผมจะฟังเทศน์ผมจะเอาหูขวาฟังเท่านั้น
ฝรั่งชอบพูดอันหนึ่ง
Always have something beautiful in sight, even if it’ just a daisy in a jelly.
มองอะไร ๆ ให้สวยเข้าไว้เสมอ แม้มันจะเป็นแค่ดอกเดซี่ (ดอกหญ้าเหลือง ๆ) บานอยู่ในแก้ววุ้น
ผมมองของขลังของหลวงปู่เปลี้ยสวยเสมอ แม้ว่าจะมีอยู่ในวัดบ้านนอกอย่างวัดชอนสารเดช
เก็บกันเถิดครับ
คนกรุงเทพฯ ได้เปรียบ เพราะลพบุรีสำหรับคนกรุงเทพฯ ก็อยู่แค่นี้เอง
ได้ยินว่าหลวงปู่ท่านเข้าโรงพยาบาล ผ่าตัดลอกต้อกระจกที่ดวงตา ป่านนี้คงกำลังพักฟื้นสุขภาพที่วัด ใครไปกราบท่านก็น่าจะได้กราบ