ฤษีชอนสารเดช


ฤษีรุ่นแรกของหลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน
วัดชอนสารเดช ลพบุรี

รูปปืนแตกยังคงลงให้ดูกันอีกครั้งหนึ่ง

เผื่อคนที่ไม่ได้ซื้อศักดิ์สิทธิ์ทุกฉบับจะได้เห็น


รูปนี้เมื่อลงตีพิมพ์ไปแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็อึงคนึง เกิดการตื่นตัวทั่วไป

รู้ได้จากการสอบถาม ทั้งจดหมายและโทรศัพท์ ที่ผมต้องพูดตอบและเขียนตอบซ้ำซากเหมือนอัดเทปให้ทุกราย

ถึงงั้นก็ปรากฏทั้งไม่เชื่อ ทั้งเป็นกลาง ๆ และทั้งเชื่อเลยก็มี

ใครจะเห็นเป็นไง ผมไม่ว่าอะไร

แต่กับการตื่นตัวของคนหาพระดีนั้นผมพอใจที่สุด

ถ้าถามผมว่าผมเชื่อหรือไม่ ให้นึกเอาเถิดว่าคนยิงเหรียญทศบารมี 38 ของหลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน ไม่ได้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ ไม่รู้จักหลวงปู่มาก่อน ชื่อก็ไม่เคยได้ยิน

เขาให้ยิงก็ยิง

ยิงเสร็จเหมารถจากอุดรธานีไปวัดหลวงปู่เปลี้ยที่ลพบุรี

เฉพาะแกคนเดียวกวาดเอาเหรียญรุ่นที่ได้ยิงจนปืนแตกคามือกลับอุดรฯ 400 กว่าเหรียญ

ผมจะตอบว่าไม่เชื่อ จะสำคัญที่ไหน

ในเมื่อคนยิงนั้นเชื่อจนหมดใจไปแล้ว

ว่าจะไม่บอกคนยิงเป็นใครแล้วเชียว

ส.ต.อ.ชัยวัฒน์ นามวรรณ หน่วยสืบสวนพิรุณ สภ.อ.อุดรธานี

เป็นการเพิ่มน้ำหนักและลบ “เขาเล่าว่า” ไปในตัว

เห็นจะต้องบอกกันว่า เหรียญทศบารมี 38 ของหลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน วัดชอนสารเดช กิ่ง อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี ที่ได้ทดลองยิงนั้นเป็นเหรียญเนื้อเงินสร้างแค่ 200 เหรียญ หมดจากวัดแล้ว ที่เหลืออยู่กับวัดเป็นเหรียญทองแดง จำนวนสร้าง ยังไม่ทราบชัด คาดว่าน่าจะราว 3 พัน ไม่เกิน 5 พันเหรียญ

150816082723150816082751

เหรียญทองคำก็มีด้วย
แต่สร้างแค่เหรียญเดียว

อย่าไปคิดอะไรเลยครับ ผมเองยังคิดไม่ออกเหมือนกัน

แค่จะเก็บเหรียญเงินยังรู้สึกว่าออกจะลำบาก

เรื่องมันรู้ช้าไปหน่อย

ตอนที่รู้จักเรื่อง ส.ต.อ.ชัยวัฒน์ นามวรรณ ยิงเหรียญหลวงปู่เปลี้ยจนปืนแตก ผมตื่นเต้นไม่น้อยคิดแต่ว่าเรื่องอย่างนี้จะมีฟลุกหรือไม่ คิดอย่างไรก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเหตุบังเอิญ

ใส่กระสุนผิดขนาดก็หมดทางเป็นไปได้

กระสุน .38 ใส่ปืน .357 แม็กนั่มนั้นใส่ได้แน่

กระสุน .357 ไม่มีทางใส่ในปืน .38 เลย

คนยิงเป็นคนชำนาญปืน อยู่กับปืนมาตลอดชีวิต จะมาทำเรื่องผิดพลาดได้วิธีไหน

จะถามพี่อี๊ด (ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ) ก็กลัวท่านจะขันเอา

คิดแล้วร้อนใจจนอยู่เฉยไม่ได้

โทรศัพท์หาคุณณรงค์ มีชีพกิจ เพื่อชาวลพบุรีช่วยไปวัดชอนสารเดชด้วย ถ้ามีเหรียญทศบารมี 38 ก็เอาให้ผมหน่อย

คุณณรงค์ก็ดีสมเป็นเพื่อนแท้

โทรฯ กลับถึงผมในวันเดียวกันว่าไปเอามาให้แล้ว แต่เหรียญเงินได้แค่เหรียญเดียว เพราะว่าทั้งวัดเหลืออยู่แค่นั้น

เสียงอ่อย ๆ แบบคนที่มีชีวิตช่วงปลายเดือนอีกด้วย

น่าสงสาร

โทรฯ หาคุณพิชย จารุทัศนางกูร เพื่อนแท้อีกคนที่ต้นเดือนหรือปลายเดือนก็มีสุ้มเสียงหนักแน่นเสมอ ให้ไปช่วยคุณณงค์อีกแรง

ทั้งสองท่านประสานแรงด้วยกันอย่างแข็งขันจริง ๆ

ทำให้นึกเพลง You’re got A friend ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เลยเถิดไปถึง “ด้วยรักและผูกพัน” ของพี่เบิร์ดธงไชยอีกเพลง ที่มันบังเอิญหรือจงใจให้คล้ายกันก็ไม่ทราบ

ที่แน่หนักหนานั้นผมมีเพื่อนอยู่

เป็นเพื่อนที่รู้ใจอีกต่างหาก

รู้ว่าใจของผมเป็นอย่างไรอยู่ตลอด

จึงโทรฯ รายงานเรื่องหลวงปู่เปลี้ยให้ผมฟังทุกระยะ ซึ่งผมคะเนได้ว่าศรัทธาและความเลื่อมใสในองค์หลวงปู่เปลี้ยกำลังงอกงามใน หัวใจ 2 ดวง ของเพื่อนทั้งสอง

13844037_1306101156108714_208013328_o

จริงๆแล้วหลวงปู่ไม่ชื่อเปลี้ย เดิมท่านชื่อผ่อง แต่ขาท่านเสียไปแต่อายุได้ 14 ปี กลายเป็นคนเดินไม่ได้มาแต่นั้นจนบัดนี้มีอายุ 85 ปี

เพราะขาเสียคนเลยเรียกท่านเปลี้ยจนติดปาก

ท่านก็ไม่ว่าอะไร

ถือว่าเปลี้ยเป็นแค่สมมติอันหนึ่ง เมื่อเป็นหลวงปู่เปลี้ยหรือหลวงปู่ผ่อง ก็ไม่พ้นไปจากการเป็นคน ๆ เดียวกันอยู่ดี

ทุกขเวทนาที่ท่านสู้อยู่กับความพิการนาน 71 ปี จะไปมีอะไรมาบ่มจิตบ่มใจให้แกร่งได้ดีกว่านี้
ธรรมะที่ออกจากปากของท่านจึงเป็นธรรมะของพระแท้

ไม่บิดเบือนไปจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์แม้สักน้อย

เพราะท่านเห็นทุกข์จริง ๆ

เขาชมว่าท่านเทศน์ดี ท่านก็ว่าพูดตามพระพุทธเจ้าจะไม่ดีได้ไง

ไม่อวดตัว ไม่อวดเก่ง

ไม่ยอมรับเรื่องเขายิงเหรียญท่านจนปืนแตก

บอกแต่ว่าเขาให้ฉันเสก ฉันก็เสก ส่วนจะขลังหรือไม่ขลัง ฉันไม่รู้

สอนให้ฟังเสมอว่า คนจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จไม่ให้อวด ไม่ให้พูด ถ้าพูดแล้วปาราชิก

พูดคำเดียวว่าฉันไม่รู้ จะอยู่ปืนหรือไม่อยู่ปืน ฉันไม่รู้

สอนแล้วสั่งอีกอย่างขึงขังจริงจังว่าอย่าเที่ยวเอาไปลองอีกนะ

เทศน์ธรรมะข้ออันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทอีกกัณฑ์ใหญ่

คุณณรงค์เลยบ่นปรัชญาข้างวัดให้ฟัง
“คนเก่งไม่อยากเก่ง คนไม่เก่งอยากเก่ง”

เข้าทีไม่หยอก

pic_pra_dsc00656

โทรศัพท์จากคุณพิชยและคุณณรงค์ มีไปถึงผมที่เมืองอุบลฯ ทุกวัน

ภาระที่ยังติดพันกับการสร้างพระถวายหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปญฺโญ ทำให้ปลีกตัวได้ยาก แต่โปรแกรมจะไปนมัสการหลวงปู่เปลี้ยได้วางไว้ให้ตรงเสาร์หรืออาทิตย์

เพื่อนที่รู้ใจก็ได้แสดงว่ารู้จริง ๆ อีกครั้ง

เขาบอกว่าหลวงปู่ให้สร้างรูปพระฤษี รวมทั้งกรรมการวัดก็เห็นดีเห็นงามให้สร้าง ดีอกดีใจจะได้เห็นพวกเราเข้าวัดชอนสารเดชเหมือนคนอื่น ๆ

เรื่องนี้ต้องให้เป็นเครดิตคุณณรงค์กับคุณพิชย

หลวงปู่ให้เส้นเกศา ข้าวก้นบาตร ทรายเสก จีวรอีกผืนแก่คุณณรงค์

เฉพาะจีวรท่านให้เลือกเอาผืนเก่าที่ห่มมาแสนนาน

กรรมการวัดท่านหนึ่งมองงง ๆ

หลวงปู่ท่านว่า “นี่เขาจะเอาไปทำของดีมาให้”

น่าชื่นใจแท้ ๆ

โปรแกรมจะไปกราบหลวงปู่ของผมก็เลยพัง

ที่ต้องทำทันทีคือพระฤษีชอนสารเดช พอเสร็จงานของหลวงปู่คำพันธ์ ก็ลัดทุกคิวให้ฤษีชอนสารเดชของหลวงปู่เปลี้ยก่อน

ทำได้ 2,990 องค์ ในพระฤษีเนื้อปกติ ส่วนเนื้อพิเศษมีเส้นเกศาได้จำนวน 363 องค์ แต่ทั้งสองเนื้อบรรจุจีวรไว้ทุกองค์ ทำเป็นพระฤษีพิมพ์ใหญ่สัดส่วนประมาณฤษีอริยธาตุแต่เข่ากว้างกว่า ดูน่าเกรงขาม และเฮี้ยน ถ้าเลี่ยมกรอบพลาสติกจะแบนและบางกว่าฤษีอริยธาตุ แขวนแล้วไม่ตุงที่อกเสื้อถือเป็นพัฒนาการของฤษีอีกก้าวหนึ่ง

150816111202  150816111224  150816111249

 


ยังมีพระฤษีพิมพ์เล็กอีก 144 องค์ กับพระปิดตา 106 องค์ ซึ่งไม่มีให้บูชาเพราะว่าจำนวนน้อยเกินไป แค่แจกก็แทบไม่พอเสียแล้ว

15724074_709582415857562_810599056_n 15682585_709582442524226_394505886_o

ฤษีพิมพ์เล็ก เอื้อเฟื้อภาพ:ชูชก รับทรัพย์

1-17 2-13 3-9

 พระปิดตา ภาพจาก เว็บพระ.คอม

—-
พระฤษีทั้งหมดถวายไว้สำหรับคนไปขอรับเองที่วัดชอนสารเดชเป็นส่วนใหญ่ และเผื่อให้ผู้ไม่สะดวกกับการเดินทางได้ติดต่อทางไปรษณีย์ราว ๆ 700 องค์

พระฤษีเนื้อพิเศษมีเส้นเกศา องค์ละ 500 บาท
พระฤษีเนื้อธรรมดา องค์ละ 300 บาท

จริง ๆ แล้วมวลสารของทั้งเนื้อพิเศษกับธรรมดาเหมือนกันทุกประการ ต่างแค่เนื้อพิเศษเพิ่มสัดส่วนของผงพระธาตุพนม พระธาตุท่าอุเทน และผงเจดีย์บ้านคูเมือง (สมัยทวาราวดี) ให้มากขึ้นกว่าธรรมดา เพื่อให้องค์พระฤษีออกประกายแดง จะทำให้แยกเนื้อจากกันได้ง่ายขึ้น

เนื้อพิเศษปั๊มตรายางรูปตัวอุณาโลมไว้ที่ผ้าสังฆาฏิด้านหลังและยันต์ตรายางของหลวงปู่เปลี้ยไว้ที่ใต้ฐาน

ส่วนเนื้อธรรมดามีเฉพาะตรายางใต้ฐาน ไม่มีอุณาโลมที่ผ้าสังฆาฏิด้านหลัง

ทั้งสองเนื้อมีมวลสารที่ทัดเทียมกัน ไม่มีเนื้อใดเหนือกว่ากันหรอกครับ

เป็นแต่เพียงเนื้อพิเศษนั้นสำหรับคนแพ้เส้นเกศา

คือเห็นเกศาแล้วดื่มด่ำเป็นพิเศษ

พระฤษีชอนสารเดชสร้างเป็นครั้งแรกสำหรับหลวงปู่เปลี้ย วัดชอนสารเดช ได้ฤกษ์เสกตลอดคืนยันรุ่งแจ้งของวันที่ 9 พฤศจิกายน 2539

ท่านพูดเป็นนัยก่อนเสกว่า
“สมัยนี้เขาทำของขลังกันง่ายไป สมัยก่อนต้องเสกแล้วเสกอีก เอาไปลองดูยังไม่ขลังต้องมาเสกกันใหม่ บางทีเสกเป็นปี รึแม้แต่อาจารย์รูปเดียวกันก็ยังทำของให้ขลังได้ไม่เท่ากัน บางรุ่นขลัง บางรุ่นไม่ขลัง”

ขณะที่ท่านพิจารณารูปองค์พระฤษีตัวอย่างที่ถวายให้ท่านได้เห็นก่อนเสกเพื่อ หมายให้ท่านรู้ว่าท่านกำลังจะเสกอะไร มีภาพถ่ายที่ปรากฏแสงประหลาดที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร

จะบังเอิญหรือจะเกิดความผิดพลาดทางเทคนิคถ่ายภาพก็ไม่ทราบ

เสียดายแต่ภาพนั้นองค์หลวงปู่หันหลัง และบังพระฤษีตัวอย่างในมือที่ท่านกำลังพิจารณาอย่างสนใจ
ไม่นึกมาก่อนว่าแสงประหลาดจะมาเกิดใกล้ตัวเราเองบ้าง

อย่าไปฟุ้งซ่านเลยครับ จะเป็นอะไรก็ช่างเถิด

รู้สึกออกจะแปลกเท่านั้น

ทีมนำพระฤษีชอนสารเดชไปถวายหลวงปู่เปลี้ยเสกในวันที่ 9 มีอาจารย์เบิ้ม มีผม มีคุณพิชย และคุณณรงค์ กับคุณทวีพร ทองคำใบ ที่กำลังดังใหญ่เพราะเป็นคนออกแบบวาดภาพแสตมป์ชุดกาญจนาภิเษกที่เรียกว่า แสตมป์ยาวที่สุดในประเทศไทย ขาดแต่คุณอภิรักษ์ จุฬาสินนท์ ที่ต้องเล่นบทเข้าโยง เพราะแม่บ้านไปทัวร์เชียงใหม่ทำให้มาไม่ได้ แต่ก็กดมือถือถามข่าวตลอดระยะ
เสกพระเมื่อไหร่จึงจะรวมทีมกันที

หลังจากยกกล่องพระฤษีเข้าวางตรงหัวนอนหลวงปู่ตามที่ท่านกำชับถึง 2 ครั้งว่า ตรงหัวนอนนะ เราก็ลาท่านไปกินสเต็กที่มวกเหล็กสเต็กเฮ้าส์ แล้วไปนอนสระบุรีอินน์ที่แก่งคอย

15683568_709210045894799_1183906583_n

พอรุ่งขึ้นวันที่ 10 ก็บึ่งเข้าวัดอีกครั้งหนึ่งโดยมี ไมค์ ไทสัน กับ อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ ให้ลุ้นด้วย

คุณพิชยออเซาะหลวงปู่ว่าไมค์ ไทสัน นี่มันเก่ง ชนะใคร ๆหมด ไม่มีใครสู้ได้

ท่านก็ว่า เออ, ให้มันรู้จักแพ้ซะบ้าง

คนหน้าจอทีวีเลยได้เฮกันลั่น เมื่อโฮลีฟิลด์น็อคไมค์ ไทสันแบบหมดสภาพ

อาจารย์เบิ้มบอกฤกษ์ฤษีชอนสารเดชนี้ดี เป็นฤกษ์ของชัยชนะชัดชัด

ทุกสิ่งทุกอย่างดูรื่นเริงหมด

มีคำพูดเดียวที่ทำให้ซึม

หลวงปู่ปรารภ
“ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ ไม่อยากมีชื่อเสียง ฉันมันหมดสภาพแล้ว”

จำเอาไว้

หลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน เสียขามา 71 ปี ท่านอยู่ในอิริยาบถนั่งกับนอน ท่านชราภาพมากแล้ว ใครไปนมัสการท่านก็ทำแต่พอควร อย่ากวนท่านให้เหนื่อยเกินไป จะเป็นบาปไม่รู้ตัว

ถ้าท่านเทศน์ก็ให้ตั้งใจฟัง

นั่นเป็นบุญมาก

อาจารย์เบิ้มถึงแก่ยกมือไหว้ท่วมหัว อุทานว่า ท่านพูดจาภาษาธรรม เหมือนหลวงปู่โต๊ะผู้เป็นอาจารย์ของตนจริง ๆ

น้ำตาก็พาลจะไหล และกล่าวกับผมว่า
“คนเห็นท่านแต่เปลือกนอกว่าเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา จนลืมไปว่าเพชรแท้ ๆ นั้นยังมีอยู่เม็ดหนึ่งที่วัดชอนสารเดช”

เพชรแท้ !!!?

ผมเห็นด้วยครับ

(ถ้าคำนวณไม่ผิด ฉบับนี้ศักดิ์สิทธิ์จะแจกเหรียญสร้อยประคำหลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งอยากจะย้ำอีกว่านี่เป็นพระเครื่องดีอีกรุ่นหนึ่งของหลวงพ่ออุตตมะ เรื่องนี้ คุณอภิรักษ์ จุฬาสินนท์ ได้รายงานให้ผมทราบแต่สมัยที่หลวงพ่อเสกว่าท่านเสกอยู่นานวัน คุณวรพร ทองดีเลิศ ก็รับรองว่าหลวงพ่อตั้งใจเสกให้อย่างแท้จริง ช่วงนั้นหลวงพ่อพักฟื้นจากอาการอาพาธ หมอห้ามรับนิมนต์ ท่านต้องอยู่ประจำที่วัดเหมือนเข้าพรรษาย่อย ๆ วิชาอาคมก็ได้เวลาทบทวนเพราะมีเวลาเหลือเฟือ ใครเอาของไปเสกช่วงนี้ท่านไม่ให้เอากลับทันที ท่านเสกให้ทุกวันจนพอใจจึงยอมให้รับของกลับ นี่ถือเป็นวาสนาของเหรียญประคำศักดิ์สิทธิ์ และเป็นบุญของผู้อ่านที่ได้รับเหรียญรุ่นนี้ไว้ทุกคน คุณอภิรักษ์ซึ่งถือเป็นศิษย์มือซ้ายของหลวงพ่อ คุณวรพร ศิษย์มือขวา ยอมรับการเสกดีของหลวงพ่อที่มีให้ เหรียญรุ่นนี้โดยดุษฏี ขอให้เชื่อเถิด)

……………………………………………………………

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ฉบับที่ 335 วันที่ 16 ธันวาคม 2539

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน