จะเล่าเรื่องหลวงปู่พรหมา เขมจาโรให้ฟัง
แรกๆหาญไม่ค่อยจะเข้าใกล้ผม เขาไม่รู้จักเบื้องหน้าเบื้องหลัง ระแวงว่าอาจเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารแฝงตัวมา
เหตุที่ต้องระมัดระวังตัวขนาดนั้นก็ด้วยว่าการเข้ามาอยู่ที่นี่ของเขาและทหารลูกน้อง
อีกร่วม10คนเป็นเรื่องผิดกฏหมาย
เขาไม่ใช่คนไทย ย่อมไม่ได้รับอนุญาติให้อยู่บนแผ่นดินของเรา
การวางตัวของพวกเขาจึงต้องให้อยู่ในสถานะที่ไม่รบกวนคนไทย
ไม่ตอแยกับเจ้าหน้าที่เพื่อที่เขาจะอยู่ตรงนี้ได้
หาญเคยปรับทุกข์กับผมว่า
“ข้อยไม่มีแผ่นดินของข้อยแล้ว ลาวข้อยก็อยู่ไม่ได้ เขาตามล่า ถ้าเจอเขาก็จะฆ่าทิ้ง ส่วนไทยข้อยก็ต้องหลบๆหลีกๆไม่ก่อปัญหา
ไม่ให้เป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่ เพื่อที่ข้อยจะพออาศัยอยู่ตรงนี้จนกว่าจะมีที่อื่นให้ไป”
เรื่องของเรื่องที่หาญมาปรากฏตัวที่นี่ก็เพราะหลังลาวแตกแล้วหมดทางไปที่ไหน
จึงออกติดตามหาหลวงปู่พรหมาจนพบ
แล้วปักหลักอยู่ที่นี่ปรนนิบัติวัฏฐากหลวงปู่ไปในตัว
จะว่าไปการอยู่อาศัยที่นี่ของหลวงปู่หากไม่มีหาญหลวงปู่ย่อมลำบากอาจยากที่จะอยู่ได้
และที่หลวงปู่เลือกอยู่ที่นี่ก็คงมีเหตุผลที่จะเอื้อประโยชน์
ให้แก่หาญที่เป็นลูกศิษย์เก่าแก่ให้มีที่หลบซ่อนตัว
ทำนองน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
คนหนึ่งเป็นเรือ คนหนึ่งเป็นน้ำ
คนหนึ่งเป็นเสือ คนหนึ่งเป็นป่า
ถ้าแยกจากกันแล้วเสือก็คงต้องไปอยู่ในกรงหรือก็ไปกลายเป็นตะกรุดหนังเสือ
ป่าก็คงไปอยู่ในโรงเลื่อย
เอแน่ะ..ช่างเปรียบไปได้แฮะ
ผมประเมินการเอื้อประโยชน์ระหว่างกองทหารลาวขาวกับหลวงปู่
ด้วยเหตุผลที่ว่าก่อนหน้านั้นหลวงปู่อยู่จังหวัดเลย
พออกจากจังหวัดเลยก็มาอยู่ที่นี่
พระผู้เฒ่าจะมาเลือกอยู่อะไรกันกับสถานที่โคตรทุรกันดารอันตรายแบบนี้
วัดไหนๆในเมืองท่านก็อยู่ได้
สารพัดวัดที่อยากให้ท่านอยู่แต่ท่านปฏิเสธหมด
ทีแรกเลยไม่ได้อยู่ตรงนี้ ท่านอยู่ถัดขึ้นมาทางเหนือน้ำ ตรงนั้นเรียกว่าอะไรผมลืมชื่อ
ไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีชุมชน มีแค่ท่านกับกองทหารลาวขาว
แล้วก็โดนฝ่ายลาวแดงถล่มเอาแทบทุกวัน
ส่วนใหญ่ยิงอาร์พีจีข้ามฝั่งมาใส่
แต่แปลกที่ไม่มีอาร์พีจีลูกไหนแตก
หลวงปู่กับลูกศิษย์ทหารช่วยกันเก็บลูกอาร์พีจีมากองไว้จนกลายเป็นกองระเบิดกองใหญ่
เจ้าเปิ้ลเคยบอกผมว่าถ้าหากอยากจะเดินป่าไปดูที่อยู่เก่าหลวงปู่เมื่อไหร่ให้บอก เขาจะพาไป
“ไปแล้วจะมีอะไรให้ดู”
“มีกองลูกระเบิดไง”
คิดไว้ในใจเหมือนกันว่าจะไป แต่แล้วไม่ได้ไปจนบัดนี้
คงต้องบอกว่าสิ่งที่ผมกำลังเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ได้โม้
ช่วงที่ผมคลุกคลีอยู่ที่นั่นไม่มีใครอื่นแม้แต่คนเดียว
ผมใช้เวลาอยู่บนวัดมากกว่าอยู่บ้าน
คืออยู่กับหลวงปู่และพวกเขา3-5วันจึงกลับบ้านหาเสบียงทีหนึ่ง
นอนบ้านแค่คืนหรือสองคืนก็กลับขึ้นไปอยู่อีกอาทิตย์หนึ่ง
เป็นเช่นนี้ตลอดเวลาหลายๆเดือน
ช่วงนั้นการภาวนาก้าวหน้ามาก
ผมได้อะไรดีๆและรู้จักบางเรื่องที่ใครๆอยากจะรู้แต่ไม่มีทางรู้อีกมากมาย
จนเวลาล่วงไปเกือบปี ผมตัดสินใจเปิดตัวหลวงปู่
คนก็แห่เข้ามา
นั่นแหละภาพที่ผมเล่านี้ก็ปราศนาการไปทันที
เกี่ยวกับเรื่องของกองทหารลาวขาวที่ภูผานางคอยนั้น
เคยสนทนากับฝ่ายทหารของไทย
เขาทราบดีว่ามีกองกำลังกู้ชาติหรือลาวขาวอยู่ที่นั่น
แต่เขาทำไม่รู้ไม่ชี้
คือสมัยนั้นนโบายด้านชายแดนที่จะให้มีแนวกันชนมีอยู่ทั่วทุกชายแดนไทย
ทางเหนือก็พวกฮ่อ ทางอีสานก็พวกนี้เอง
หาญกับพวกก็คือกันชนที่เราปล่อยไว้ให้ป้่องกันลาวแดงนั่นเอง
ถ้าไม่ใช่เพราะผมเข้าใจเรื่องนี้ผิด, ที่ผมเล่ามาทั้งหมดย่อมเป็นตามนั้น
ธาตุลมชักไม่สมดุลย์กับธาตุน้ำอีกแล้วสิ
ขอไปปรับธาตุใหม่ก่อน..เดี๋ยวมา
ท่าเรือบ้านดงนาระหว่างรอเริอโดยสาร จากท่าเรือขึ้นมาจะพบทางสายเดียวตัดผ่านหมู่บ้าน เดินตรงไปเรื่อยๆก็พบทางเดินเท้าขึ้นวัด
แทบทุกครั้งที่มาจะพกข้าวของหรือขนมแจกเด็กที่แห่กันมาเข้าคิวทั้งหมู่บ้าน ที่เห็นในภาพคืออาจารย์อนันต์ สวัสดิสวนีย์