จะเล่าเรื่องหลวงปู่พรหมา เขมจาโรให้ฟัง

 

ถึงกับจะเป็นลมเป็นแล้งกันเชียว
เอ้าๆ
เล่าแล้วๆ

เริ่มตรงไหนดีล่ะ
เอาตรงนี้แล้วกัน
ตรงพระครูเทพโลกอุดรนี่แหละ

ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงกลางปี2533 ผมเพิ่งย้ายออกจากกรุงเทพกลับไปอยู่อุบลฯ
แต่ยังไปๆมาๆระหว่างกรุงเทพ-อุบลฯทุกบ่อย
คราวหนึ่งได้สนทนากับเพื่อนนักเขียนที่กอง บก.ศักดิ์สิทธิ์
เขาเอ่ยอย่างอวดรู้อยู่2เรื่อง
เรื่องแรกเขาบอกว่าหลวงพ่อชาไม่มีวัตถุมงคล
เรื่องที่สองเขาอ้างว่าพระครูเทพโลกอุดรกับสำเร็จลุนเป็นคนเดียวกัน

จึงเป็นเหตุให้ผมต้องลงมือโต้แย้งด้วยข้อเขียน
ลงในหนังสือศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับเรื่องวัตถุมงคลที่มีอยู่ของหลวงพ่อชา
จนเดี๋ยวนี้ข้อเขียนนั้นได้รับการยอมรับทั่วไปและถูกนำไปใช้อ้างอิงตลอดมาจนปัจจุบัน

ส่วนเรื่องพระครูเทพโลกอุดรกับสำเร็จลุนผมไม่ได้เขียนโต้แย้งแต่อย่างใด
แม้จะตั้งใจเต็มที่ว่าเขียนแน่

เกิดเหตุให้เปลี่ยนใจไม่เขียนขึ้นมาซะเฉยๆ

ขณะที่ยังมีความตั้งใจเต็มเปี่ยมว่าจะเขียนโต้แย้งนั้น ได้ออกสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับสำเร็จลุนนานเดือน
เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าสำเร็จลุนก็คือสำเร็จลุน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระครูเทพโลกอุดรแม้แต่น้อย
สำเร็จลุนมีตัวมีตน มีที่เกิดที่ตายแน่ชัด จะเป็นคนเดียวกันกับพระครูเทพโลกอุดรได้ยังไงมองไม่เห็นทาง
ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวว่าใครเป็นลูกศิษย์หรือเคยพบสำเร็จลุนอยู่ที่ไหน
เป็นดั้นด้นออกไปหา
ไม่ว่าจะใกล้ไกลสักแค่ไหนไปหมด
ไปโดยที่ไม่่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เสี่ยงไปหาทุกคนทุกที่อย่างทรหดอดทน

ผลปรากฏว่าเหลว

คนเหล่านั้นล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว

หวุดหวิดจะได้การอยู่คนหนึ่ง,คือหลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร นายูง อุดรฯ
พอไปถึงวัดท่านเท่านั้น เขาก็บอกว่าเพิ่งเผาท่านไปเมื่อ3วันที่แล้ว

หมดท่าเหมือนคาวบอยตกม้า

แทนที่จะได้เรื่องได้ของสำเร็จลุน กลับได้อัฐิของหลวงปู่เครื่องมาแทน

อัฐิชิ้นนั้นผมมอบให้ใครก็ไม่รู้
เอาไปบรรจุใส่ไว้ในเจดีย์หรือฐานพระประธานวัดไหนก็ไม่จำ

การเดินทางดิ้นรนไปค้นหาตัวผู้ที่ทันสำเร็จลุน
เพื่อจะหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์ท่านตลอดเวลาหลายเดือนนั้น
ผู้ร่วมเดินทางด้วยกันบ่อยๆมี2ท่านคือ เฮียบัติกับอาจารย์เวทย์ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งสึกออกมาจากสามเณร

เพราะมุ่งมั่นจะสืบสาวราวเรื่องสำเร็จลุนจึงเป็นเหตุให้ได้พบหลวงปู่พรหมา

ช่วงกำลังหมดหวังและเว้นวรรคภารกิจที่ล้มเหลว
มีใครคนหนึ่งที่ผมก็ไม่จำอีกเหมือนกัน ได้ส่งข่าวว่า พอแสง บ้านท่าบ่อ เป็นคนแก่อายุใกล้ๆ80เคยพบสำเร็จลุน
เกิดแรงใจแรงกายขึ้นมาอีก

พ่อแสงที่ว่านี้ก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านสักเท่าไหร่(ไม่เกิน12 กม.)

พอไปขอพบและสนทนา ปรากฏว่าพ่อแสงไม่เคยพบสำเร็จลุนแต่อย่างใด
เคยแค่อยู่ศึกษาเล่าเรียนกับหลวงปู่ดีโลด วัดทุ่งศรีเมือง(พระครูวิโรจน์รัตโนบล)
จะคาบเกี่ยวไปถึงสำเร็จลุนอยู่บ้าง
ก็ตรงที่พ่อแสงอ้างว่าหลวงปู่ดีโลดได้บอกกับพ่อแสงในวันหนึ่งว่า

“ถ้าเจ้าอยากได้ดีได้เด่นกว่านี้ ให้ไปหาเณรแก้ว เณรคำ”

พ่อแสงซึ่งเวลานั้นยังหนุ่มก็ออกดั้นด้นหาเณรแก้วเณรคำซึ่งเป็นศิษย์สำเร็จลุนไปทั่ว ทั้งฝั่งลาวฝั่งไทย ตลอดแนวแม่น้ำโขง
ไม่เคยพบเณรแก้ว
แต่อ้างว่าได้พบเณรคำที่ไหนสักแห่งในเขตจังหวัดหนองคาย
คลับคล้ายว่าจะเป็นถ้ำบนภูเขาในเขตอำเภอบ้านแพง

ไม่ได้เรื่องอีกเหมือนกัน

ต่อมาเพื่อนอีกคนชื่อสุรพล ปทุมวงศ์(ทำงานธนาคารกรุงเทพ)มาบอกว่า ที่บ้านดูนมีพ่อจารย์บัน รู้เรื่องสำเร็จลุนดีมากน่าไปคุยดู

ผมก็รีบไปหาและขอคุยด้วย

พ่อบันเป็นผู้ที่มีลักษณะพิเศษ คือเป็นฆราวาสที่ปฏิบัติตนเหมือนฤาษี พำนักอยู่บ้านดูน บนเส้นทางสายอุบลฯ-ตระการพืชผล

พบกันใหม่ๆไม่ทันจะคุ้น พ่อบันก็ออกอาการสำรวมระวังไม่ค่อยพูดค่อยจา
ถามอะไรก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลีก
เลยไม่แน่ใจว่าจะรู้เรื่องสำเร็จลุนจริงดังเพื่อนว่าหรือไม่

พอดีเหลือบไปเห็นรูปพระภิกษุชราใบเล็กๆใส่กรอบเก่าๆวางอยู่บนหิ้ง
ภาพภิกษุชรานั้นดึงดูดความสนใจผมอย่างบอกไม่ถูก

ถามไถ่ก็ได้ความว่าท่านเป็นพระอยู่ในเขาริมแม่น้ำโขง
เป็นพระที่ข้ามมาจากฝั่งลาว

ครั้นซอกแซกจะเอารายละเอียดเพิ่มเติมก็บ่ายๆเบี่ยงๆไม่ค่อยจะยอมบอกยอมพูด

คงบอกแค่ชื่อว่าหลวงปู่พรหมา

บังเอิญมีลูกศิษย์พ่อบันเป็นหญิงชาวบ้านอายุราวๆ50กว่า ได้ถือโอกาสเล่าแทรกขึ้นมาว่า
“หลวงปู่พรหมานี้เก่งหลาย”
“เก่งยังไง”
“ลูกชายข้อยถูกเขาเหยียบอกยิงไม่ตาย”
“ฮ้า..จริงเรอะ”
“จริงซิ”
“แน่นะ”
“อ๋อแน่ซิ”

อ้าวๆจะเลี้ยวเข้าห้องฟังเพลงร้องคาราโอเกะซะแล้ว

หญิงชาวบ้านเล่าเพิ่มเติมว่า ลูกชายจะไปเที่ยวงานวัดหมู่บ้าน ปู่ก็เรียกไปหาแล้วเอาตะกรุดให้คาดเอวไปดอกหนึ่ง
ไปมีเรื่องวิวาทกันกับกลุ่มวัยรุ่นพันธุ์ดุ ชกต่อยกันจนล้มลง คนหนึ่งในกลุ่มอริเข้ามาเหยียบหน้าอกไว้ แล้วยิงด้วยปืน2นัด
นัดแรกไม่ออก นัดที่สองออก กระสุนทะลุหนังตรงหัวไหล่ขวาด้านหน้า แต่กระสุนไม่ทะลุผ่าน กลับมุดใต้หนังอ้อมไปทะลุออกข้างหลัง
รูเข้ากับรูออกตรงกัน แต่กระสุนไม่ทะลุผ่าน
นับว่าแปลกมาก

“แล้วตะกรุดนั่นน่ะของใคร”
“ของปู่ข้อยสิ”
“ไม่ใช่ๆ ของหลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหน”
“ก็หลวงปู่พรหมาน่ะสิ”
“จริงรึ”
“จริงซิ”
“แน่นะ”
“อ๋อแน๋สิ”

ผมไม่เ
คยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อหลวงปู่พรหมา ถามพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายสายก็ส่ายหน้าไม่รู้จักกันทุกคน
คิดจะเดินทางไปหาท่านก็แสนยาก
ฟังเขาอธิบายวิธีไปหาท่านแล้วถอดใจ
ต้องลงเรือล่องน้ำโขงไปหมู่บ้านอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยได้ยิน แล้วขึ้นเขาไปอีกไม่น้อยกว่า2ชั่วโมง ท่านพักอยู่บนเขานั้น

ต้องเก็บพับแผนการที่จะเดินทางไปพบหลวงปู่เอาไว้ก่อนโดยไม่มีกำหนด

หลังจากนั้นอีกเกือบเดือน หรืออาจจะ2เดือนประมาณว่าเป็นช่วงปลายของปี2533ผมก็สมหวัง
ได้พบหลวงปู่พรหมาแบบง่ายๆไม่น่าเชื่อ
ง่ายจนนึกถึงเมื่อไหร่ก็แปลกใจไม่หาย
เพราะสถานที่ได้พบท่านครั้งแรกอยู่ห่างจากบ้านของผมไม่เกิน500เมตร

สุรพลคนเดิมแจ้นมาบอกผมถึงบ้านว่า
“มีหลวงปู่มาที่อู่ซ่อมรถสมจิตร เขาว่าชื่อหลวงปู่พรหมา ไม่รู้จะเป็นพรหมาเดียวกันหรือเปล่า ไม่ลองไปดูหรือ”
“ไปซีวะ”

พอพบท่านเท่านั้นแหละก็เป็นเรื่องล่ะซี….

ปวดท้องฉี่แล้ว
ขอไปฉี่ก่อน…เดี๋ยวมา

 

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน