จะเล่าเรื่องหลวงปู่พรหมา เขมจาโรให้ฟัง

มาดูอีกภาพหนึ่งที่ผมถ่ายเองคราวไปวัดหลวงปู่พรหมาเมื่อต้นปี2551ถึงได้เห็นชัดๆ

มณฑปไม่ได้สร้างครอบโขดหิน
ตอนที่ถ่ายภาพก็ไม่ได้เดินลงไปดู
เลยเข้าใจผิดไป

ดูทางซ้ายมือของภาพ จะเห็นโขดหินอยู่กลุ่มหนึ่ง เมื่อก่อนไม่มีผ้าแพรสีพันไว้
เป็นแค่โขดหินธรรมชาติ

เมื่อพูดถึงโขดหินแล้วจะเล่าต่ออีกหน่อยว่า สมัยนั้นที่นี่เป็นป่าเขาไร้ผู้คน
มีแค่หลวงปู่กับลูกศิษยพระเณร3รูป ส่วนโยมชาวบ้านเมื่อหมดธุระก็กลับลงไปยังหมู่บ้านข้างล่าง
จะเหลือบางกลุ่มบางครั้งบางโอกาส
ก็เป็นพวกเป็นกลุ่มทหารลาวขาวที่ติดตามมาอาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงกับหลวงปู่
ถ้าไม่เรียกหา พวกเขาก็ไม่มารบกวน
ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงยังคงสภาพเดิมที่เป็นธรรมชาติร้างคนแท้ๆจริงๆ

สิ่งก่อสร้างบนวัดก็ยังไม่มี มีแค่กุฏิไม้หลังเล็กๆ8หลัง กับศาลาหลังคามุงหญ้าคาสำหรับพระฉันแล้วก็โยมอาศัยนอนได้

ตรงบริเวณโขดหินนั้นไม่ค่อยมีใครไปเพ่นพ่านนัก โดยมากจะเป็นผม ชอบไปนั่งคนเดียวเงียบๆตรงนั้น
ดูน้ำโขงทอดตัวเองหายลับเข้าไปในทิวเขา
แล้วก็นึกไปว่า สถานที่แบบนี้ มันต่างจากเมืองที่เราเคยอยู่อาศัยมาทั้งชีวิต
แต่ทำไมคนจึงอยู่กันไม่ได้
ที่อยู่ได้ก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่ง จะเป็นประเภทที่เรียกว่าพิเศษได้หรือไม่

อย่างเช่นหลวงปู่พรหมา ท่านมาอยู่อะไรของท่านที่นี่
มันเป็นเรื่องของความสุดแสนจะกันดารลำบาก
แต่ท่านก็อยู่ได้
และ ผมก็อยู่ได้เพราะมีท่านอยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีท่านต่อให้ตรงนี้เป็นประตูบานเดียวในโลกสำหรับคนจะขึ้นไปสวรรค์ ผมก็ไม่มา ยอมอยู่ในนรกต่อไป
นั่นเป็นความคิดในขณะนั้น ขณะที่ติดสบาย ขณะที่ยังเป็นคนเสียนิสสัย

ตรงโขดหินนี้มีแปลกอยู่อย่าง
มีทางปูด้วยกรวดเม็ดเล็กๆที่ต้นหญ้าไม่ขึ้นยาวราวๆ12เมตร ตามธรรมชาติ
เหมือนทางจงกรม
แล้วก็สะอาดสะอ้าน
ทั้งเรียบเหมือนมีคนดูแลปัดกวาดทุกวัน

ผมเห็นแปลกและเกิดความสนใจ
จึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตรงนี้บ่อยและมากกว่าทุกแห่งบนนั้น

โขดหินก้อนนี้ผมเป็นคนเลือก และนิมนต์หลวงปู่มานั่งแล้วถ่ายรูปนั้นเอาไว้

จำได้ว่าท่านพูดถึงบังบดด้วย
ท่านว่าแถวนี้เป็นทางเทียวของพวกบังบด
ถ้าคนไม่มีศีลมีธรรมอยู่ไม่ได้
“ลูกเป็นคนมีศีล พวกเขาชอบ”
ในตอนนั้นผมมีศีล5ครบครับ
รักษาศีล5มานานกว่า3ปีก่อนพบหลวงปู่และรักษาต่อมาอีก8ปี
รวมเป็นถือศีล5อย่างเคร่งครัด11ปี เพิ่งมาทำศีลหลุดมือไปตอนกลับจากปักกิ่งปี42นี่เอง

เรื่องบังบดที่ท่านเอ่ยถึง ผมยังไม่เชื่อหรอกครับ
ท่านว่ามา ผมก็เออออไปไม่ขัดคอ

ตอนวันออกพรรษา วันที่ถ่ายรูปนั้น หลวงปู่จุดตะไล ปล่อยลงไปในเหวหลังโขดหิน
ผมไม่ได้ถามว่าทำไมต้องทำงั้น เข้าใจว่าเป็นธรรมเนียมของพระลาวต้องปฏิบัติเมื่อออกพรรษา
จำได้แค่้คำหนึ่งที่ท่านกล่าวปนเปกับเนื้อหาอื่นออกมาว่า
“พวกบังบดอยู่ข้างล่าง จุดตะไลบอกพวกเขาด้วย”
ท่านให้ผมช่วยจุด
ตกลงวันนั้นมีผมกับหลวงปู่แค่2คนเล่นตะไลสนุกไป

เมื่อเป็นเช่นนั้น บริเวณนี้ก็น่าจะเป็นสถานที่พิเศษไปกว่าทุกแห่ง
ผมจึงเรียนท่านว่าถ้าผมรวยจะสร้างเจดีย์ไว้ทางด้านโน้น
ซึ่งก็เป็นตำแหน่งตรงข้ามกับมณฑป

ในที่สุดก็ไม่ได้สร้าง กลับมีคนมาสร้างมณฑปแทน
นับว่าดียิ่งสมควรอนุโมทนากับเขา

โขดหินนี้เป็นที่ๆเดียวที่เมื่อยามนึกย้อนหลังถึงภูผานางคอย ผมจะนึกเห็นก่อน
ด้วยว่าผมเคยอาศัยหลบมานั่งภาวนาตอนกลางคืนจนแทบจะเป็นที่ผูกขาดของผมคนเดียว

จึงพูดได้เต็มปากว่าผมมีความผูกพันกับบริเวณนี้ที่สุด

แปลกที่ท่านrungrongสนใจหยิบภาพบริเวณนี้มากล่าวถึง

เลยเป็นเหตุให้ร่ายซะยาว


แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน