ภิกษุมหาโจร ๕ ประเภท

ก่อนบวชพระก็แค่คนธรรมดา ไม่มีหมาที่ไหนสนใจ

หากินไม่เป็น หาได้ไม่คุ้มปากคุ้มท้อง ดำรงชีวิตด้วยความล้มเหลว

พอบวชเป็นพระ ชีวิตความเป็นอยู่ก็เปลี่ยน สถานะก็เปลี่ยน

มีคนมานบไหว้ มีคนเข้ามาถวายข้าวของสินทรัพย์อุปโภคบริโภคมากมาย

ไปไหนมาไหนคนค้อมหัวก้มกราบทั้วแผ่นดิน

ก็เลยสำคัญตนผิด

กลายเป็นคนลืมตัว ลืมกำพืด เสียนิสสัย

ต่างจากผู้มีศรัทธาเข้ามาบวชเพื่อปฏิบัติจนกว่าจะพ้นทุกข์ เพื่อพ้นไปจากวัฏสงสาร อย่างกับหน้ามือหลังมือ

คนผู้บวชเป็นพระแล้วไม่ได้เจริญรอยโดยหน้าที่ปฏิบัติอันสมควรแก่การเป็นพระจริงๆ

แต่เห็นแก่โภคทรัพย์ทางโลก บำเรอกิเลสตนเป็นพื้น ลืมทุกข์ที่เคยประสพกับตนแต่สมัยก่อนบวช ลืมว่าตนก็แค่คนไร้ค่าหมาไม่แล

ครั้นบวชแล้วผ้าเหลืองเปลี่ยนวาสนาให้
จึงได้อาศัยผ้าเหลืองหากินบำเรอตน

คนแบบนี้เรียกว่าภิกษุโจร

ว่าด้วยตติยปาราชิกกัณฑ์

***

สมัยหนึ่งแห่งพุทธกาล

สมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับ ณ ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี

สมัยนั้นเกิดทุพภิกขภัย (ภัยอันเกิดจากข้าวยากหมากแพงหรือการขาดแคลนอาหารในบ้านเมือง) ในแคว้นวัชชี

เมื่อคฤหัสถ์ลำบาก ภิกษุทั้งหลายย่อมลำบากด้วย

สมัยนั้นเริ่มมีภิกษุไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว

ภิกษุไม่ดีส่วนหนึ่งเห็นว่า ควรใช้วิธีสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟัง สรรเสริญว่าภิกษุรูปนั้นรูปนี้ มีคุณวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้
เช่น ได้ฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ จนถึงกับได้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี และเป็นถึงพระอรหันต์ มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖.

มีอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะก็ให้ว่าไปโลด
ถ้ามันจะช่วยให้ภิกษุดุดีมีค่าน่าเลื่อมใส

เมื่อเห็นชอบว่าวิธีนี้ดี จึงลงมือเที่ยวสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟัง
เป็นเหตุให้ได้รับความเคารพศรัทธา ได้รับการเลี้ยงดูจากคฤหัสถ์ชาวริมน้ำวัคคุมุทาเป็นอย่างดี ถึงกับมีผิวพรรณผ่องใส เอิบอิ่ม เปี่ยมสง่าและราศีกันทั้งหมู่คณะ.

ครั้นถึงกาลออกพรรษา ภิกษุเหล่านี้พากันเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ กรุงเวสาลี อย่างเปรมปรีดา

ในขณะที่ภิกษุมาจากทุกทิศทาง จากสถานที่อื่นๆ ล้วนซูบผอม ทรุดโทรม ผิวพรรณทราม ดูไม่ได้ ผอมโซ เส้นเอ็นปูดโปน น่าเวทนา

แต่ภิกษุที่มาจากฝั่งน้ำวัคคุมุทา กลับอิ่มเอิบ อ้วนพี มีสง่า

ราศีสดใส

หลังจากพระพุทธองค์ทรงตรัสถามสารทุกข์สุขตามธรรมเนียมแล้ว ทรงทราบเรื่อง จึงทรงกล่าวติเตียน

ตรัสเรียกประชุมภิกษุทั้งหลายพลัน

ทรงตรัสเรื่องมหาโจร ๕ ประเภทให้เหล่าภิกษุทั้งหลายฟัง

ดังนี้…

๑. มหาโจรพวกหนึ่งคิดรวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพัน เพื่อจะเข้าไปฆ่า, ปล้น, เอาไฟเผาในคามนิคม ต่อมาก็รวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันเข้าไปฆ่าปล้น เอาไฟเผาในคามนิคม ราชธานี เทียบด้วยภิกษุบางรูปคิดรวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพัน เพื่อจะจาริกไปในคามนิคม ราชธานี ให้คฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา อ่อนน้อม และได้จีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ตลอดจนยารักษาโรค ต่อมาก็รวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันจากริกไปในคามนิคม ราชธานี มีคฤหัสถ์บรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา อ่อนน้อม และได้จีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ตลอดจนยารักษาโรค. นี้เป็นมหาโจรประเภทที่ ๑ (ซึ่งมีความปรารถนาลาภสักการะ แล้วก็ทำอุบายต่าง ๆ จนได้สมประสงค์).

๒. ภิกษุชั่วบางรูปเรียนพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ก็โกงเป็นของตนเอง (แสดงว่าตนคิดได้เอง ไม่ได้เรียนหรือศึกษาจากใคร). นี้เป็นมหาโจรประเภทที่ ๒.

๓. ภิกษุชั่วบางรูปใส่ความเพื่อนพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ด้วยข้อหาว่า ประพฤติผิดพรหมจรรย์ อันไม่มีมูล. นี้เป็นมหาโจรประเภทที่ ๓.

๔. ภิกษุชั่วบางรูปเอาของสงฆ์ที่เป็นครุภัณฑ์ ครุบริขาร (ที่ห้ามแจกห้ามแบ่ง) เช่น อาราม ที่ตั้งอาราม วิหาร ที่ตั้งวิหาร เตียง ตั่ง เป็นต้น ไปสงเคราะห์คฤหัสถ์ ประจบคฤหัสถ์ (พราะเห็นแก่ลาภ). นี้เป็นมหาโจรประเภทที่ ๔.

๕. ภิกษุผู้อวดคุณพิเศษที่ไม่มีจริง ไม่เป็นจริง ชื่อว่าเป็นยอดมหาโจรในโลก เพราะบริโภคก้อนข้าวของราษฎรด้วยอาการแห่งขโมย.

ทรงติเตียนภิกษุชาวริมฝั่งน้ำวัดคุมุทาด้วยประการต่าง ๆ พร้อมทั้งทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน เมื่ออวดไปแล้ว แม้จะออกตัวสารภาพผิดทีหลัง ก็ต้องอาบัติปาราชิก.

( อำพล เจน May 31 2016 )
แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน