หลวงตาทางหลวง

 

พ่อลุงบุญเลิศ เพียรเพิ่มพูน เล่าว่า หลวงตาสรวงท่านมาที่หมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง ไกลจากหมู่บ้านที่พ่อลุงบุญเลิศไปรับงานขุดสระราวๆ20กว่ากิโล


คนทั้งหมู่บ้านนี้เมื่อทราบว่าหลวงตามา ก็พากันหอบลูกจูงหลา่นไปกราบหลวงตาที่หมู่บ้านโน้นกันจนหมด

หมู่บ้านจึงร้าง

พ่อลุงบุญเลิศเกิดข้อสงสัยว่าพระอะไรกัน ถึงกับให้คนทิ้งบ้านแจ้นไปหาจนบ้านร้างขนาดนี้
ก็เลยตามไปดู

“พอไปเห็น..โอ๊ยย..มันอะไรกันนักกันหนา..หลวงตานอนกลิ้งเกลือกอยู่กับขี้ดิน สกปรก ขี้ไคลขึ้นเป็นคราบ ขี้ตาก้อนเท่าเม็ดถั่ว น้ำลายก็ไหลเยิ้ม ขอโทษนะหลาน..หำก็โผล่ออกมาทั้งพวงอีกด้วย”

พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่า เกิดความอเนจอนาถแกมสมเพช
ทั้งสมเพชหลวงตาและพวกชาวบ้าน
พระก็เหมือนผีบ้า ชาวบ้านยิ่งบ้าหนักกว่าอีก มาแห่มาแหนล้อมหน้าล้อมหลังกราบพระบ้ากันประหลกๆ

“พอนึกในใจเท่านั้น หลวงตาก็ทำปากจู๋ส่งเสียงจุ๊กๆ นิ้วชี้ก็เคาะลงที่พื้นดินป๊อกๆๆสามครั้ง..โน่น..แม่ไก่ มันกำลังหากินหาเลี้ยงลูกเจี๊ยบอยู่ฝูงหนึ่ง มันหยุดกึก หันกลับมา แล้วก็ทั้งบินทั้งวิ่งมาหาหลวงตา
ทั้งแม่ทั้งลูกวิ่งกันปานกับกลัวจะมาไม่ทัน คือมันแย่งกันวิ่งสลับบินมาหาหลวงตาแบบรีบร้อนที่สุด..ตัวแม่ไก่มาหมอบนิ่งอยู่ข้าง ๆ หลวงตา ส่วนลูกๆพอมาถึงก็โดดขึ้นเล่นบนตัวหลวงตา..น่ารักมาก”

พ่อลุงบุญเลิศบอกว่าตอนนั้นชักจะนึกแปลกใจแปลบปลาบเล็กๆเข้าบ้างแล้ว
สักครู่หลวงตาสรวงก็เอานิ้วมือขีดลงพื้นดินเป็นวงกลมเล็กๆ
จับลูกไก่ตัวหนึ่งวางใส่ในวงกลม
แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งอยู่บนกระท่อม

แม่ไก่กับลูกของมันทั้งฝูงก็ลุกขึ้นกลับออกไปหากินตามปกติเหมือนเดิม
เว้นแต่ลูกไก่ตัวที่อยู่ในวงกลมเท่านั้น

“มันนอนเล่นเหมือนมีความสุข จิกขนตัวเอง นอนเหยียดแข้งเหยียดขา ลุงย่องเข้าไปจับมันออกมาปล่อยนอกวงกลม มันก็กลับวิ่งเข้าไปอยู่ในวงกลมอีก จับมันออกมาอีกที มันก็กลับเข้าไปในวงกลมเหมือนเก่า”

ตอนนี้พ่อลุงบุญเลิศตาสว่างแล้วขะรับ
ลุกขึ้นเดินตามหลวงตาเข้าไปที่กระท่อม
พอก้มลงจะกราบเท้า

“ท่านชักเท้าหนีไม่ให้กราบ ลุงขยับตามไปจะกราบให้ได้ ท่านก็ชักเท้าหนีอีก ลุงจึงตัดสินใจจับขาท่านไว้ไม่ให้หนี จึงได้กราบสมใจ แล้วก็ขอขมาท่านว่า ลูกหลานผิดไปแล้ว มองคนก็แค่เปลือก ไม่ใด้มองถึงเนื้อใน จึงเป็นเหตุให้นึกประมาทครูบาอาจารย์”

“แล้วลูกไก่ที่อยู่ในวงกลมล่ะ” ข้าพเจ้าถามพ่อลุงบุญเลิศ
“อ๋อ..สักครู่หลวงตาทำปากเป่าลมไป มันจึงออกสามารถจากวงกลมวิ่งกลับไปหาแม่ของมันได้”
“หลังจากนั้นพ่อลุงก็กลายเป็นผู้ติตดามหลวงตาไปจนตลอดชีวิต”
“ไม่นะ..กว่าท่านจะยอมให้ติดตามก็อีกเป็นเดือน ระหว่างนั้นตามท่านไปอย่างเดียว ไม่ให้คลาดสายตา ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนก็ตาม ”
“ท่านก็ยอมให้ตามหรือขะรับ”
“ท่านไล่ให้หนี ไม่ให้ตาม แต่ลุงเล่นลูกตื๊อไม่ยอมถอย ท่านไล่ เราก็หลบไปอยู่ห่างๆ พอเผลอๆก็กลับเข้ามา เป็นแบบนี้อยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่งลุงเหนื่อยหลาย หิวก็หิว ข้าวไม่ได้กินทั้งวัน เผลอหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ตัว ตื่นอีกทีเพราะว่ามีคนมาปลุก พอลืมตาก็มืดค่ำสนิทไปแล้ว”
“หลวงตามาปลุก”
“เปล่าๆ ท่านน่ะหนีไปแล้ว แต่เกิดเปลี่ยนใจให้ลูกศิษย์ที่ติดตามท่านประจำย้อนกลับมาปลุก”
“อ้าว..ก็ไหนว่าท่านไม่มีลูกศิษย์”
“ไม่เชิงลูกศิษย์..คือหลวงตาชอบจะมีผู้ติดตามประจำอยู่สามคน แต่ไม่ได้ติดตามพร้อมกันทั้งสามคน ท่านให้ตามแค่ทีละคนเท่านั้น แล้วทั้งสามคนเป็นพวกไม่เต็มบาทด้วยกัน คนไม่เต็มบาทนี่แหละมาปลุก มันบอกว่าหลวงตาไปแล้วๆๆ หลวงตาให้มาตามลุงให้ตามไป”

พ่อลุงบุญเลิศเล่าต่อไปว่า
“หลวงตาท่านรออยู่อีกที่หนึ่ง ไกลพอสมควร ท่านพาเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะพาไปไหน ไฟฉายก็ไม่มี เดินตามท่านไป จนไปทะลุถึงหมู่บ้า่นหนึ่ง ท่านไปปลุกชาวบ้าน บอกให้เขาหาข้าวให้ลุงกิน ท่านว่าหาข้าวให้ลูกชายกินหน่อย ลูกชายหิวข้าว บ้านนั้นเอาปลากระป๋องมาเปิดให้กินกับข้าวเหนียว หิวจนตะกรุมตะกราม กินเกลี้ยงไม่มีเหลือ หลวงตาหัวเราะชอบใจ..ตั้งแต่นั้นท่านเรียกลุงว่าลูก แล้วก็ยอมให้ติดตามท่านตลอดมาอย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละ”

พ่อลุงบุญเลิศตื๊อจนหลวงตาสรวงใจอ่อน
ในบั้นท้ายสุด
ได้กลายเป็นคนขับรถให้หลวงตาสรวงเพื่อด้นธุึดงค์
จรดลไปทั่วแว่นแคว้นแดนดิน
เกิดสมญานามอีกหนึ่งว่าหลวงตาทางหลวง

อำพล เจน Oct 22 2009

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน