ถึงกาลมรณภาพแห่งหลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน
ผมไม่มีโอกาสบอกกับท่านผู้อ่านได้ทันกาลมรณภาพแห่งหลวงปู่เปลี้ย คุณสมฺปนฺโน ในวันที่ 6 เมษายน 2540 เพราะมีเหตุต้องโยกย้ายกระทันหัน
การย้ายที่อยู่นั้นเป็นเรื่องธรรมดา
ชั่วชีวิตของทุกคนต้องรู้จักการโยกย้ายทั้งสิ้น
เป็นอนิจจังไม่เที่ยง
กับชีวิตอลหม่านที่เพิ่งผ่านไปนี้มีคำพูดเดียวเท่านั้น
Be forgiving of yourself and other
จงให้อภัยตัวเองและผู้อื่น
สำหรับที่นี้คงไม่ต้องถือว่าเป็นการเริ่มต้นกันใหม่ แต่จะถือเป็นการสานต่อเรื่องที่ยังไม่เสร็จของหลวงปู่ปืนแตก
เกี่ยวกับการมรณภาพอย่างกระทันหันของหลวงปู่เปลี้ยนั้น ผมไม่ได้มีลางสังหรณ์หรือเฉลียวใจอะไรเลย เว้นแต่ตอนกลางคืนวันที่ 6 เมษายน ผมไม่เคยฝันเห็นหลวงปู่มาก่อนก็ฝัน
คือฝันว่าท่านกำลังนั่งอยู่ในอิริยาบทเดิมที่คุ้นตาที่สุด นั่งเอามือยันพื้น เก็บหัวเข่าพับเพียบเรียบร้อยแล้วหัวร่ออารมณ์ดีบอกว่า “ฉันจะเสกพระให้ปืนงอเป็นขี้กล้องไปเลย”
ก็เท่านั้นเอง
ไม่ใช่ฝันพิสดารแปลกประหลาด
พอตื่นเช้าวันที่ 7 เมษายน ฟ้าก็ผ่าลงกลางใจผม
คุณสุนทร เอนกโพธิ แฟนคอลัมน์ที่เกื้อกูลกันมาตลอด โทรศัพท์ไปบอกผมว่า หลวงปู่เปลี้ยสิ้นแล้วเมื่อวานนี้เอง คือสิ้นในเวลาประมาณบ่าย 2 ของวันที่ 6เมษายน 2540 ด้วยโรคน้ำท่วมปอด
หัวใจของผมไหม้เกรียมอย่างที่ไม่มีอะไรป้องกันได้
ตกบ่ายวันที่7 คุณณรงค์ มีชีพกิจ ได้โทรมาเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับมรณกรรมของหลวงปู่เปลี้ยอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนเข้าโรงพยาบาลวันสองวัน ท่านได้ให้คนไปตามลุงใจ ซึ่งเป็นคนปรนนิบัติวัฏฐากประจำ ให้มาปลงเกศาของท่าน ทั้งที่ไม่ใช่วันโกน ได้เกศานิดเดียว ท่านไม่เก็บเอาไว้ แต่มอบให้ลุงใจทั้งหมด และกำชับว่า จงเก็บไว้ให้ดี ต่อไปจะไม่มีให้อีกแล้ว
คืนวันที่ 30 มีนาคม 2540 ก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาด หลวงตาอะไรไม่ทราบชื่อ ไปถามที่วัดจะทราบ หลวงตารูปนี้ทำหน้าที่เจิมรถแทนหลวงปู่เปลี้ยบ่อยๆ เพราะว่าหลวงปู่ท่านพิการ เดินไม่ได้ ท่านเสกแป้งเจิมให้หลวงตารูปนี้ไปเจิมแทน หลวงตาที่ไม่ทราบซื่อนี้แหละครับที่พักอยู่ห้องติดกับหลวงปู่
ท่านเล่าว่า พอตกดึก ได้ยินเสียงหลวงปู่คุยกับใครไม่ทราบ เข้าใจว่าท่านคงรับแขก แปลกใจว่าดึกดื่นป่านนี้แขกที่ไหนยังมากวนหลวงปู่อยู่ได้
พอวันรุ่งขึ้นหลวงปู่ก็บ่นว่า เมื่อคืนพวกผีมันมากันสลอน ไม่รู้มันมาทำไม ฉันเลยไล่มันกลับ
…วันที่ 4 เมษายน ท่านมีอาการท้องเสีย ลูกศิษย์นำส่งโรงพยาบาล แพทย์พบว่ามีโรคแทรกซ้อนคือ หัวใจโตกับน้ำท่วมปอด จึงรั้งตัวท่านไว้ที่โรงพยาบาลไม่ยอมให้กลับคืนวัด ท่านบอกลูกศิษย์ว่า “ฉันจะอยู่ไม่เกิน 2 วัน”
…วันที่ 6 เมษายน เวลา 14.40 น. ท่านก็ถึงกาลมรณภาพ อย่างสงบ
โรคหัวใจโตกับน้ำท่วมปอด นั่นแหละครับที่เอาชีวิตท่านไป
ทางพระคงไม่เศร้าโศกกับมรณกรรมของท่าน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่แสนธรรมดา แต่คนที่ยังเดินในทางโลกแบบผมระงับเศร้าไม่อยู่หรอกครับ
ศพของท่านขณะนี้ยังเก็บรักษาไว้ที่วัด อยู่ในโลงกระจกสามารถมองเห็นสรีระของท่านได้ถนัด ทางวัดยังไม่มีกำหนดการแน่ชัดว่าจะจัดการกับศพท่านอย่างไร ถ้ามีข่าวคืบหน้าจะหาโอกาสรายงานผู้อ่านทราบต่อไป
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศูนย์พระเครื่อง ปีที่7 ฉบับที่ 188 (สิงหาคม พ.ศ.2540)