อาจารย์ปู่ คำผุก อุนาภาค_03
ปู่คำผุก เป็นชาวบ้านท่าสว่าง เกิดที่นั่น โตที่นั่น และมีเรื่องราวชวนอัศจรรย์อยู่ที่นั่น
เมื่อแรกเกิดเป็นคนปกติเช่นเด็กทั่วไป
แต่พอเริ่มรู้ภาษารู้จักความ เกิดอาการป่วยจนถึงกับทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง
กลายเป็นภาระให้พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างยากลำบาก
พ่อแม่ได้นำตัวปู่คำผุกไปถวายวัด โยนภาระให้วัด ซึ่งวัดก็รับไว้ด้วยเมตตาสงสาร
อยู่วัดไม่นาน หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้บรรพชาเป็นสามเณร ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมไปตามอัตภาพ
หลายปีต่อมา ปู่คำผุกเติบใหญ่ขึ้น กลายเป็นสามเณรโข่งตาบอดที่นึกอยากจะได้วิชาคาถาเพื่อพัฒนาตน
อยากหาความรู้ใส่ตัวพอให้ได้ช่วยสร้างประโยชน์ตนประโยชน์ท่านกับเขาบ้าง
เวลานั้นปู่คำผุกได้ยินกิตติศัพท์ว่าอาจารย์สิงห์ บ้านคึม มีวิชาดี
โดยเฉพาะวิชาอ้อน้ำไหล
ถ้าได้ใครเรียนจนสำเร็จจะเล่นจะร้องจะลำอะไรคนมักติด
ปู่คำผุกอยากเรียนเป็นอันมาก หวังว่าจะได้เอาวิชานี้มาใช้สำหรับการเทศน์
ตัวอาจารย์สิงห์เองเคยบวชเป็นพระมาก่อน สึกออกมาหาเลี้ยงตนและครอบครัวด้วยวิชาอาคมอยู่นานปี
หลังๆประสพความลำบาก ด้วยชาวบ้านพากันเห็นว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบ
เลยพาลขับไล่ให้ออกไปอยู่นอกเขตหมู่บ้านตามลำพังกับครอบครัวของตน
เรื่องที่เขาลือกันว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบนั้น ปู่คำผุกทราบดี แต่ไม่กลัว
ปู่คำผุกได้กราบขออนุญาตหลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ช่วยพาไปหา แต่หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ผัดผ่อนเรื่อยมา ไม่พาไปสักที
ในที่สุดก็หันไปพึ่งหลวงพี่รูปหนึ่ง ซึ่งมีเมตตาต่อปู่คำผุกมากกว่าผู้ใด
หลวงพี่รูปนั้นอาสาพาไปจนพบตัวอาจารย์สิงห์
พบแล้วก็ทิ้งปู่คำผุกไว้กับอาจารย์สิงห์
ส่วนหลวงพี่อาจเกรงกลัวอาจารย์สิงห์จึงขอกลับวัดไม่อยู่ด้วย
เมื่อพบกันแล้วอาจารย์สิงห์รับปากว่าจะสอนให้ไม่หวงวิชา
ให้ปู่คำผุกพักผ่อนหลับนอนที่บ้านของอาจารย์สิงห์สักคืน พอให้หายเหนื่อย แล้วค่อยเรียนทีหลัง
ระหว่างนั้นอาจารย์สิงห์ได้บอกว่า อยากจะให้ปู่คำผุกดูอะไรสักอย่างหนึ่ง
จึงลุกขึ้นไปฉวยเอาพานเก่าๆที่วางอยู่บนหิ้งพระออกมา
ในพานมีห่อผ้าขาว ข้างในห่อผ้าเป็นแผ่นจารอักขระทองคำโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นของใครสมัยใด
ตัวอักขระเป็นภาษาที่อาจารย์สิงห์อ่านไม่ออก เคยให้ผู้รู้ในศาสตร์วิชาภาษามากมายหลายคนช่วยอ่าน ก็ไม่สามารถอ่านได้ ไม่ทราบว่าเป็นภาษาอะไร
เมื่อส่งแผ่นจารทองคำให้ปู่คำผุกรับไปถือไว้ในมือ
เหตุอัศจรรย์พลันอุบัติขึ้น
ฟ้าผ่าเปรี้ยงเสียงสนั่นลั่นโดยพลัน
ผ่าลงมาแถวๆนั้น
เป็นฟ้าผ่ากลางแดดที่ผิดธรรมชาติ ผ่าโดยไม่มีเมฆฝน ผ่าลงมากลางไอร้อนของแดดแผดจ้า
แรงกระเทือนของฟ้าที่ผ่า ถึงทำเอาปู่คำผุกสลบเหมือด
หลังจากฟื้นขึ้นมา เรื่องแปลกประหลาดทีใครก็คาดไม่ถึง ก็เกิดขึ้นด้วย
ปู่คำผุกเปลี่ยนกลายไปเป็นคนละคน
ปู่คำผุกได้เรียกเอาแผ่นจารทองคำนั้นมาถือไว้ในมืออีกครั้ง
แล้วบอกว่า แผ่นจารนี้เป็นของปู่คำผุกทำไว้เป็นร้อยชาติมาแล้ว
ถ้อยคำที่เขียนไว้ในนี้เป็นเสมือนคำสาปแช่ง
ผู้ใดครอบครองไว้จะต้องได้ยาก จะตกทุกข์ลำบากแสนเข็ญตลอดชีวิต
หลังจากนั้นก็อ่านและแปลข้อความในแผ่นจารให้อาจารย์สิงห์ฟัง อย่างคล่องแคล่วชำนาญปานโกหก
นอกจากนี้ปู่คำผุกยังย้ำยังสั่งอีกว่า ให้อาจารย์สิงห์เอาแผ่นจารนี้ไปคืนไว้ที่เก่า หรือเอาไปฝังไว้ฝังไว้ในโบสถ์
ถ้าทำตามนี้แล้ว ชีวิตที่เปี่ยมทุกข์ของอาจารย์สิงห์จะกลับเป็นสุขดังเดิม
จากนั้นก็ลุกขึ้นจะกลับวัด
“อ้าว..เณร จะไม่เรียนอ้อน้ำไหลแล้วหรือไร” อาจารย์สิงห์เอะอะ
“ไม่เรียน..เฮารู้หมดแล้ว” อาจารย์คำผุกตอบอย่างไม่ใยดี
นี่เป็นเรื่องแปลก ที่อาจารย์สิงห์เห็นว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา
ชะรอยจะเป็นเหตุอัศจรรย์อะไรสักอย่างที่ยังไม่ทราบแน่ชัด ยังสรุปไม่ได้
จึงหาทางทัดทานปู่คำผุกไว้ก่อนไม่ยอมให้กลับ
“นี่ก็จวนมืดแล้ว ขอให้เณรพักที่นี่สักคืนตามที่ข้าน้อยตั้งใจแต่แรกเถอะ พรุ่งนี้จะกลับก็ไม่ว่า”
ปู่คำผุกขัดไม่ได้จึงยอมพักค้างคืนที่บ้านตามคำร้องขอของอาจารย์สิงห์
ระหว่างนั้นพวกชาวบ้านเริ่มระแคะระคายเหตุการณ์ฟ้าผ่าบ้านอาจารย์สิงห์จึงชวนกันมาดู
ในที่สุดก็มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านอาจารย์สิงห์เป็นจำนวนมาก
คงเห็นแปลกที่เณรตาบอดปรากฏตัว ทั้งยังมีเรื่องพิลึกที่เกิดขึ้นหลังฟ้าผ่าน่าสนใจติดตาม
อาจารย์สิงห์เองได้ป่าวประกาศกับชาวบ้านว่าเณรตาบอดรูปนี้ ท่าจะเป็นผู้มีบุญ ควรที่จะต้องจับตาดูเอาไว้เผื่อจะได้เห็นอะไรดีๆ
หุงหาข้าวปลากินกันปานงานบุญเล็กๆ
พอจะเปรียบได้กับเลี้ยงข้าวปุ้น(ขนมจีน)ผีแม่ม่ายเช่นทุกวันนี้
คืนนั้นจารย์ปู่คำผุกเข้าพักในห้องที่ภรรยาอาจารย์สิงห์จัดให้ตามลำพัง
ตกดึกก็เกิดเหตุประหลาด
มีแสงสว่างปรากฏอยู่ในห้อง
ถึงกับมีลำแสงลอดออกมาตามร่องตามรูกระดานหรือแม้แต่ช่องลม
สมัยนั้นบ่มีไฟฟ้าใช้เน้อ
อาจารย์สิงห์อดรนทนไม่ได้ ย่องเข้าไปแอบดูผ่านรูไม้ฝาห้องเข้าไป
พอเห็นเท่านั้นถึงกับผงะ และมีอันรีบแจ้นลงไปป่าวประกาศกับหมู่ชาวบ้าน ให้พากันแอบดูบ้าง
ภาพที่ปรากฏคือ
ไม่มีใครเห็นเป็นรูปเป็นตัวจารย์ปู่คำผุก
เห็นเป็นเพียงดวงไฟสว่างเรืองรอง
คล้ายหลอดนีออนอย่างเช่นปัจจุบัน
รุ่งเช้าอาจารย์สิงห์แสร้งถามว่า
“เมื่อคืนฝันดีไหมเณร”
“ฝันดีหลาย”
“ฝันไงล่ะ”
“ฝันว่าตัวเจ้าของเอง เอาลิ้นเลียขอบจักรวาล”
พอตกสายหลังอาหารเช้าแล้ว
จารย์ปู่คำผุกก็ลงจากเรือน
เดินดุ่มออกไป จะกลับวัด
แปลกที่ว่าไม่ต้องให้ใครจูงอีกแล้ว
เดินไปเองได้เหมือนคนตาดี
เชื่อหรือไม่
หลังจากนี้มา จารย์ปู่คำผุกแม้บอด กลับเห็นทุกอย่างได้เฉกเช่นคนปกติ
บางทีจะเห็นได้ลึกซึ้งกว่าด้วยซ้ำ