เรื่องเล่าหลวงปู่พรหมา เขมจาโร: ดาบซามูไร ๑๑ เล่ม
เรื่องเล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีใครรู้จักหลวงปู่นะครับ
ตั้งแต่หลวงปู่ยังเป็นเพียงพระนิรนามสำหรับเมืองไทย
ชื่อหลวงปู่พรหมาถูกขึ้นบัญชีดำของเจ้าหน้าที่หารลาวตลอดมา
ด้วยว่ากองกำลังทหารที่หลวงปู่อุปถัมภ์อยู่ เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลลาวสมัยนั้น
เรียกว่ากองกำลังลาวกู้ชาติ หรือจะให้เข้าใจง่ายก็คือกองกำลังลาวขาว
ส่วนฝ่ายรัฐบาลลาวก็เรียกว่าลาวแดง
หัวหน้ากองกำลังลาวขาวคือพี่สุนา แก้ววิจิตร
กองกำลังของพี่สุนาถูกเรียกชื่อว่ากองร้อยคอแดง
เพราะว่ามีจีวรหลวงปู่พรหมาพันคอเป็นสัญลักษณ์ทุกคน
กองร้อยนี้ตั้งแต่ตั้งแต่ตั้งขึ้นมา ไม่เคยตาย ไม่เคยถูกยุบ
หลังจากลาวแตก กองร้อยนี้ต้องเผ่นหนีมาอยู่ขอบชายแดนไทย
มาอยู่กับหลวงปู่พรหมานั่นแหละครับ
ต้องแฝงตัวเป็นชาวบ้าน กลมกลืนอยู่กับผู้คนละแวกบ้านดงนา
ทางการไทยก็รู้ดี แต่นโยบายกันชนตอนนั้น ทำให้กองร้อยนี้อยู่ได้ ไม่ถูกปราบ
พวกเขาพูดว่า
“พวกข้อยรบไม่เคยแพ้ แต่แพ้การเมือง”
สุนา แก้ววิจิตร
……..
ราวปี ๒๕๑๖ – ๒๕๑๗
ลาวจวนเจียนจะแตก
การรบพุ่งยังดำเนินอยู่ ฝ่ายรัฐบาลเห็นความปราชัยปรากฏแล้ว
หลวงปู่พรหมาขณะนั้นพำนักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้)ใกล้เวียงจันทน์
ลาวแดงอยู่ฟากหนึ่ง ลาวขาวอยู่อีกฟากหนึ่ง วัดอยู่ตรงกลาง
ทั้งสองฝ่ายยิงปืนใหญ่ถล่มใส่กัน
พวกทหารลาวขาวหนีตายเข้ามาในวัด
หลวงปู่ไม่มีอะไรจะให้ ก็ฉีกจีวรแจกทหารลาวขาวทุกคน
พี่สุนาหัวหน้ากองร้อยคอแดงผู้เล่าเรื่องนี้ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย บอกว่ากระสุนปืนใหญ่หลายลูก รวมทั้งอาร์พีจีตกใส่วัด
แต่ไม่มีกระสุนหรืออาร์พีจีลูกใดแตก
ต่อมาไม่กี่ชั่วโมง วัดก็กลายเป็นสถานที่อพยพเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและทหาร
มีเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงรับตัวออกไปหลายเที่ยว
พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นเห็นว่าวัดเป็นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการหนีออกนอกประเทศ
หลังจากนั้นไม่นานกองกำลังลาวขาวก็แตกพ่าย
ลาวแดงก็ยึดเวียงจันทน์สำเร็จ
พี่สุนาพาหลวงปู่หนีขึ้นไปทางเหนือนครเวียงจันทน์
ขึ้นไปหลบซ่อนอยู่บนภูเขาเลียบแม่น้ำโขงติดชายแดนไทย
สุดท้ายก็หนีข้ามมาฝั่งไทยในพื้นที่ชายแดนจังหวัดเลย
จากนั้นก็ตั้งวัดอยู่ที่เมืองเลย
แล้วย้ายมาอยู่ริมโขงในเขตสำโรง อ.โพธิไทร จ.อุบลฯ
สุดท้ายก็ย้ายไปอยู่ภูผานางคอยจนปัจจุบัน
……..
เหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นในระหว่างลาวยังรบพุ่งกัน ยังไม่แตก ยังไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง
หลวงปู่ก็ยังอยู่ในป่าฝั่งลาว ยังไม่อพยพข้ามโขงมาอยู่ฝั่งไทย
ดังนั้นใครก็ตามที่บอกว่าเคยติดตามเดินป่ากับหลวงปู่จึงน่าสงสัยว่าจะโม้
(ทหารญี่ปุ่นกับซามูไรในสงครามโลกครั้งที่ ๒)
ช่วงปลายก่อนลาวแตก มีทหารชาวข่าชุดหนึ่ง จำนวน ๑๑ คน
เป็นฝ่ายลาวแดง
ขึ้นชื่อเรื่องหนังเหนียว
ออกรบที่ไหนเข่นฆ่าลาวขาวตายเป็นเบือ
จนกองกำลังลาวพากันหวาดกลัวเสียขวัญ
พี่สุนาได้นำเรื่องนี้กราบเรียนหลวงปู่ทราบ
หลวงปู่จึงให้พี่สุนาไปหามีดดาบมา ๑๑ เล่ม
พี่สุนาได้ดาบซามูไรเก่ายุคสงครามโลกครบ ๑๑ เล่ม ก็นำมาให้หลวงปู่
หลังจากนั้นดาบซามูไร ๑๑ เล่ม ก็แจกให้กับทหารที่ถูกถูกคัดเลือก ๑๑ คน
ภารกิจของกองร้อยคอแดง ๑๑ คนนี้คือ..ออกตามหาทหารข่าพวกนั้นอย่างเดียว
ตามกันอยู่นานเดือน..กระทั่งพบกันที่ชายแดนเวียตนาม ก็บุกเข้าประกบฟันกันตัวต่อตัว อย่างกับในหนัง
ผลคือทหารข่าตายหมดทั้ง ๑๑ คน
อานุภาพของซามูไร ๑๑ เล่มนี้ แม้ฟันออกไปกลางอากาศ ไม่ต้องฟันถูกตัวคน แค่เล็งแล้วฟันไปที่เป้าหมาย ก็ทำให้คนๆนั้นล้มลงตายได้
มีรอยเขียวพาดตัวเหมือนรอยฟันด้วยดาบปรากฏทุกศพ
ผมจึงเรียกของผมเองว่าดาบเลเซอร์ เรียกตามหนัง Star War ของจอร์จ ลูกคัสที่กำลังดังอยู่เวลานั้น
หลังจากนั้นขวัญและกำลังใจของฝ่ายลาวขาวก็ฮึกเหิมขึ้นมา
กองร้อยคอแดงก็กลายเป็นความสยองขวัญให้ฝ่ายลาวแดงต่อมาจนกระทั่งสงครามสงบ
ดาบซามูไร ๑๑ เล่ม ทุกวันนี้ยังอยู่หรือไม่?
อยู่ครบครับ
แต่ไม่มีใครทราบว่าอยู่ที่ไหน
ถูกฝังดินซ่อนอยู่ละแวกป่าเขาแถวผานางคอยนั่นแหละครับ
ผมได้มีวาสนาลูกคลำจับต้องด้วยตนเองครั้งหนึ่ง
เซ้าซี้ทหารลาวขาวที่วัดให้ไปขุดมาให้ดู
ทีแรกเขาไม่ยอม
“ถ้าไม่ขุดมาให้ดู เรื่องนี้ขี้โม้” ผมว่า
เมื่อขุดขึ้นมาแล้ว เขาแอบเอามาให้ผมดูที่กุฏิหลังที่ ๔ (เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว)
ดาบถูกห่ออย่างดีในผ้าพลาสติคกันน้ำ ชะโลมจารบีไว้ด้วย
ประสาคนมือบอน พอจับมีดจับดาบก็ชอบชักออกดู
เขารีบตะครุบมือผมไว้
“อย่า..อย่าชักออกมา”
นั่นแหละครับผมจึงเริ่มเข้าใจในอานุภาพอันน่ากลัวของดาบเหล่านั้น
ช่วง ๒-๓ สัปดาห์ต่อมา ผมเห็นดาบเล่มนี้ไปอยุ่ที่กุฏิหลวงปู่
ต่อมาก็หายไป
ทราบว่าหลวงปู่ให้เอากลับไปฝังดินซ่อนไว้เหมือนเก่า
ผมก็ปากเปราะอวดรู้ เล่าเรื่องนี้ให้พรรคพวกสนิทชิดเชื้อฟังหลายคน
พวกที่รู้เรื่องอยากจะได้มั่ง ไปขอดาบซามูไรกับหลวงปู่ หรือไปขอให้หลวงปู่ทำให้ใหม่
“อยากตายเหรอ…”
คำแรกที่หลวงปู่หลุดออกจากปากคือคำนี้
ส่วนคำต่อไปต้องเซ็นเซ่อร์
เพราะเป็นคำด่าล้วนๆ
แต่ถึงอย่างนั้น.. วันหนึ่งที่หลวงปู่สั่งให้ผมเอาปืนของผมไปให้ท่าน
บอกว่าจะทำอะไรสักอย่างกับปืนให้ผมเก็บไว้ประจำตัว
ปืนผมอยู่กับหลวงปู่เกือบ ๒ เดือน ท่านจึงคืนให้
ท่านว่า
” เอาไว้ยิงคนหนังเหนียว ”
หลังจากให้ปืนแล้ว ท่านก็หยิบมีดเล่มหนึ่ง ยาวประมาณคืบกว่าๆ ให้ผม
ท่านบอกว่า
“พ่อทำมีดนี้ให้ลูกเก็บไว้.. มีดนี้ก็คือดาบซามูไร เหมือนกันทุกประการ.. อย่าชักโดยไม่จำเป็น”
หลังจากนั้นท่านก็สอนวิธีใช้วิธีรักษาโดยละเอียด
ประโยคหนึ่งที่ท่านย้ำกับผมว่า
” เมื่อเกิดยิงกัน.. เราหลงเข้าไป หรือเขามายิงเราก็ตาม ให้ชักออกมา ชูมีดนี้ เอาปลายมีดชี้ขึ้นฟ้า แล้วเดินผ่าไปเลย ไม่ต้องกลัว ปืนระเบิดไม่แตก”
ทุกวันนี้มีดเล่มนี้ยังอยู่กับผม
เก็บซ่อนไว้อย่างดี
และทุกวันนี้อีกเหมือนกัน..กำลังคิดจะหาโอกาศเอาไปทิ้งน้ำโขง
เพื่อให้มีดหายสาปสูญไป
ไม่อยากทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังเอาไปใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หลวงปู่เคยบอกว่า มีดนี้เกิดด้วยอานุภาพของผีปีศาจ แม้จะป้องกันเจ้าของ แต่ก็เป็นมีดชั่วร้าย ทำลายชีวิตคนด้วย
วันหลังจะถ่ายรูปมาให้ดู..ก่อนจะโยนทิ้งลงน้ำโขง
Sep 8 2014
หลวงปู่ไม่เคยเรียกชื่อดาบซามูไรที่ท่านทำขึ้นให้กองร้อยคอแดง ใช้ปราบทหารข่าหนังเนียวว่าเป็นดาบอะไร
ผมก็จะเรียกของผมเอง
มีดผีพรายหรือดาบผีพราย
คงต้องชี้แจงเพิ่มเติมอีกนิดนึง
ที่บอกว่าหลวงปู่ทำมีดนี้ให้นั้น
ไม่ได้หมายความว่าหลวงปู่ทำมีดขึ้นด้วยองค์ท่านเองทุกกระบวนการนะครับ
ผมเป็นคนทำตัวมีดขึ้นเอง
ใช้เหรียญสารพัดเนื้อของหลวงพ่อหลวงปู่หลายรูป
เช่นเหรียญปู่ฝั้น ปู่ขาว ปู่สิม, หลวงพ่อชา(พิมพ์หลวงปู่พั่ว วัดนาเจริญ),ปู่แหวน
และ..
อีกเยอะแยะ จำไม่ได้
เอาหลอมรวมกัน แล้วตีออกมาเป็นใบมีด
ในด้ามมีดม้วนฝังด้วยตะแกรงรองศพหลวงปู่สาม อกิญจโน ซึ่งเก็บออกมาจากกองฟอนหลังไฟมอดดับแล้ว
ส่วนพระพิฆเณศร์ที่ปลายด้ามมีด เป็นของหลวงพ่อแช่มวัดดอนยายหอม
เจตนาที่ทำก็เพื่อจะให้หลวงปู่ทำมีดหมอให้
แต่หลวงปู่กลับทำออกมาเป็นมีดผีพรายดังกล่าว
จริงๆแล้วจะบอกว่าเหมือนดาบผีพรายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่ใช่
ท่านว่าลดอานุภาพที่ว่าฟันไปกลางอากาศแล้วเป้าหมายจะล้มตายออกไป
เหลือแค่ชักออกมาชี้ปลายมีดใส่ศัตรูก็จะวิบัติไปในไม่ช้า
ตั้งแต่ท่านทำให้.. ยังไม่เคยชักออกมาเลยครับ
เพิ่งนึกออกว่าเคยชักครั้งหนึ่งครับ
ตอนนั้นมีผู้หญิงใกล้บ้าน ไม่ถึงกับสนิท เพียงเห็นหน้ากันบ่อยๆว่าเป็นคนละแวกเดียวกัน
แกมายืนเกาะประตูรั้วบ้านผม หน้าดำแบบคนป่วยหนัก ไม่พูดไม่จา
ผมก็เดินไปหา ถามว่ามีธุระปะปังอะไรกะผม
แกว่ามาขอน้ำมนต์
บอกว่าป่วยอยู่นานเดือน หมอให้กลับบ้าน ท่าจะไม่รอด
เสียแต่ว่าผมจำไม่ได้ว่าป่วยอะไร
แต่นึกแปลกใจว่าแกนึกยังไงจึงมาขอน้ำมนต์
ผมก็อยู่ของผมเงียบๆแท้ๆ
ก็เอามีดเล่มนี้แหละครับออกมาแช่น้ำทำน้ำมนต์ให้
มหัศจรรย์ก็บังเกิด
ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ ๒๐ ปีมาแล้วนะครับ
แกสบายดี
ทุกวันนี้เปิดร้านขายลาบปลา ขายดิบขายดี มีลูกค้าอุดหนุนอยู่จนแน่นร้านยามเที่ยงวันทุกวัน
มีดผีก็ให้คุณได้นะครับ
น้ำมนต์ชุดนี้ได้ใช้ประโยชน์ ๒ ครั้ง
หลังจากทำแล้วแบ่งให้หญิงป่วยผู้เป็นเพื่อนบ้านไปครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งก็เก็บไว้
ต่อมาเจ้าของร้านถ่ายรูปเจ้าประจำที่ผมไปล้างอัดภาพวัตถุมงคลก็เอ่ยปากกับผม
เธอเล่าว่า.. สามีของน้องสาวไปติดผู้หญิงปักษ์ใต้
แทบจะไม่กลับบ้านกลับช่องเลย
กลับมาก็เดี๋ยวเดียว เปลี่ยนเสื้อผ้าคว้าเงินได้ก็ออกไปอีก
น้องสาวเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้มาก..สงสัยว่าจะถูกผู้หญิงปักษ์ใต้ทำเสน่ห์
ผมก็ว่าไม่ใช่เขาไปเพราะกิเลศตัณหาหรอกหรือ?
“ท่าทางน้องเขยหนูก็แปลกๆ ดูไม่เหมือนเดิม เป็นเหมือนคนใจลอยๆ หน้าก็คล้ำ”
“นึกไงจึงมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังล่ะ”
” เห็นว่าพี่เอารูปพระมาล้างมาอัดบ่อยๆ เผื่อจะรู้จักพระที่ไหนเก่งๆพอจะช่วยได้”
ผมกลับมาเอาน้ำมนต์ไปให้หล่อน
ก่อนจะเอามาก็เติมน้ำมนต์หลวงพ่อชา,หลวงปู่สิม,น้ำมนต์๑๐๐ปีวัดบวรฯและหลวงพ่อแช่มอี
กหน่อย
บอกเธอว่า รอน้องเขยกลับบ้านคราวหน้า ให้เอาน้ำมนต์ให้กินให้อาบ
“เขาจะยอมกินยอมอาบเหรอคะ”
วิธีการมีอยู่..เอาน้ำมนต์กรอกผสมใส่ในขวดน้ำทุกขวดในตู้เย็น
บังคับเขาให้หยิบขวดไหนก็ไม่พลาด
ที่เหลือเติมใส่น้ำอาบ เตรียมรอไว้
หลังจากนั้นเวลาก็ผันผ่านไปจนลืม
วันหนึ่งไปทำธุระล้างอัดรูปก็นึกได้
“เรื่องน้องเขยล่ะเป็นไง”
“อ๋อ..ค่ะพี่…หนูว่าจะเล่าให้ฟังหลายครั้ง เห็นพี่มาหลายรอบแล้ว ติดลูกค้าอื่นทุกที ไม่มีจังหวะคุยกัน”
“เป็นไงมั่งล่ะ”
“วันที่พี่เอาน้ำมนต์มาให้ น้องเขยก็กลับเข้าบ้านวันนั้นพอดี ก็กินและอาบไปตามแผน.. พอใกล้สองยามเขาก็ออกไปหาผู้หญิงปักษ์ใต้อีก”
“อ้าว?”
“พอวันรุ่งขึ้น..สายๆเขาก็กลับมา แล้วก็อยู่บ้านตลอดไม่ออกไปอีกเลยจนทุกวันนี้”