เรื่องเล่าหลวงปู่พรหมา เขมจาโร: เขาชื่อหาญ (สุนา แก้ววิจิตร) ตอนที่2
หาญเล่าให้ฟังว่า พบและรู้จักหลวงปู่พรหมาครั้งแรกที่ภูเขาควาย
เขานำกองกำลังลาดตระเวนอยู่แถวนั้น
พบหลวงปู่พำนักอยู่ในถ้ำรูปเดียว เข้าไปกราบสนทนาด้วย ถูกชะตา จึงพากองกำลังทั้งหมดมากราบ
หลวงปู่รดน้ำมนต์ให้ทุกคน
ต่อมาหาญย้ายฐานลงมาทางแขวงจำปาศักดิ์ทำให้ขาดการติดต่อกับหลวงปู่
เรียกว่าต่างคนต่างไปไม่มีใครรู้ข่าวกัน
คราวหนึ่งออกป่าล่าสัตว์คนเดียว ถูกลอบยิงด้วยปืนกลหนัก แบบที่มีขาตั้ง เรียกไม่ถูก ทั้งกระดูกขาฝ่าเท้าแตก ทำให้หนีไปได้ไม่ไกล กลับที่ตั้งไม่ได้
นอนหมดแรงจนสลบอยู่กลางป่าคนเดียว3วัน
คิดว่าตายแน่
อยู่ๆหลวงปู่พรหมาก็ปรากฏตัว
ลงมือช่วยเหลือรักษาแผล
หลวงปู่มีน้ำ้มันงาทั้งนวดทั้งจัดกระดูกที่แตกให้เข้าที่ ทำเฝือก หายา(สมุนไพร)ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเขาอยู่ตรงนั้นนานกว่า10วัน
จนฟื้นกำลังแข็งแรงรอดตายค่อยพาเขากลับฐานที่ตั้ง
ถามไปว่า
“ใครไปตามหลวงปู่มาช่วยล่ะ”
“ไม่มีใคร,ท่านมาของท่านเอง”
จะคิดให้เป็นเรื่องเหตุบังเอิญก็พอได้
แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น
นี่จึงเป็นเหตุให้หาญเกิดความรักความผูกพันและเคารพในองค์หลวงปู่ตลอดมา
ในที่สุดทั้งกองร้อยของหาญได้สมัครเข้าเป็นศิษย์ท่านทั้งหมด
กลายเป็นกองร้อยหนังเหนียว รู้จักทั่วไปในหมู่ศัตรูว่ากองร้อยคอแดง
——————————————-
ช่วงนี้ผมมีงานต้องทำ
จะยุ่งอยู่กับงานสัก4-5วัน
ระหว่างนี้ไม่สะดวกมาเล่าสักเท่าไหร่
แต่จะหาจังหวะมาเล่านิดเล่าหน่อยไปเรื่อยๆทุกวันแล้วแต่โอกาส
อย่าเพิ่งวงแตกกันล่ะ
ใครมีธุระส่วนตัวก็เชิญตามสบาย
เสร็จแล้วมาล้อมวงกันต่อ
เดี๋ยวก็มา
————————
วัดหลวงปู่พรหมาในปัจจุบัน
ทางแดงๆที่เห็นว่าเชื่อมวัดกับหมู่บ้านคือทางรถยนต์ สมัยนั้นไม่มี มีแค่ทางเดินเท้า
ช่วงท้าย ใกล้เวลาลาวแตก
หาญกับกองร้อยของเขาประจำการอยู่ทางด้านจำปาศักดิ์ตามแนวชายแดนลาวเวียตนาม
มีการปะทะกับเวียตกงตลอดเวลา
ครั้งหนึ่งที่ไหนสักแห่งผมก็ลืมชื่อ
มีปะทะใหญ่
กองร้อยของหาญอยู่บนเขา เวียตกงบุกขึ้นมาจะยึดที่มั่นนี้ให้ได้
หาญเล่าว่า
“พวกมันมาเหมือนมด หนุนขึ้นมาเรื่อยๆ ยิงคนนี้ล้ม คนข้างหลังก็เบียดขึ้นมา
พวกมันตายเยอะ แต่ไม่รู้จักหมด หนุนขึ้นมาตลอดเวลา มันเหลืออดเหลือใจ ตายกันไม่หมดสักที
เลยลุกขึ้นยืนยิง ไม่ต้องกำบังกันล่ะ
กดปืนลงไปข้างล่าง ยิงใส่อยู่อย่างนั้น
สักครู่รู้สึกเจ็บแปล๊บที่โคนขาซ้าย ล้มลง ไม่มีเวลาตรวจดูอะไร พอจะยังลุกขึ้นได้ก็ลุกมายิงกับพวกมันต่อ
จนกระทั่งลูกน้องมาบอกว่าให้ถอย เขาจะเอาเครื่องบินเข้าถล่ม ให้รีบถอนกำลังออกจากตรงนี้
หลังจากถอยพ้นออกมาจนปลอดภัยแล้วจึงดูที่ขาของเจ้าของเอง
เห็นหัวลูกปืนมันปักฝังอยู่ในเนื้อ ค่อยๆดึงมันออกมา หนังก็ยืดตามขึ้นมา กระสุนไม่ทะลุหนังข้อย
นั่นก็เล่นเอาข้อยเดินไม่ไหวอยู่เป็นเดือนกว่าจะหายเป็นปกติ”
“ตอนนั้นถือของอะไรอยู่”
“ของหลวงปู่ทั้งนั้น”
“มีอะไรมั่งล่ะ”
“หลายอย่างหลายแนว พระก็มี ตะกรุดก็มี”
เรื่องหนังเหนียวของหาญเป็นที่ร่ำลือจนสมัยที่เขามาอยู่ฝั่งไทย ลือไปถึงหูคนๆหนึ่งที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่
เขาสั่งให้จับตัวหาญมาขังไว้
วันหนึ่งเมาได้ที่ร้องเอะอะว่า
“บักหาญเขาว่ามึงหนังเหนียว มาลองยิงกะกูคนล่ะนัดเอาไหม”
“ไม่เอาหรอกเจ้านาย ผมไม่ได้หนังเหนียวหรอก”
“มึงไม่ต้องมาโกหก” หันไปสั่งลูกน้องที่เฝ้าห้องขัง “เอามันออกมาข้างนอก กูจะยิงกะมันลองดู”
เรื่องนี้เจ้าเปิ้ลเล่าว่าอยู่ในเหตุการณ์พอดี แต่ขัดขวางอะไรไม่ได้ จึงได้แต่เฝ้าดูอย่างไม่สบายใจ
หาญถูกขู่เข็ญบังคับด้วยถ้อยคำถากถางสารพัดจนเขาทนไม่ได้จึงบอกว่า
“เอาอย่างนี้ เจ้านายยิงผมก่อน ผมค่อยยิงทีหลัง”
ว่าแล้วก็นั่งคุกเข่ากับพื้น
คนใหญ่คนโตเห็นได้ทีได้เปรียบ ควักปืนออกเหนี่ยวไกใส่ทันที
กระสุนนัดแรกก็ด้าน
แทนที่จะเลิกตามข้อตกลงกลับยิงจนหมดลูกโม่
ไม่ออกสักนัด
หาญก็ลุกขึ้นจะยิงคืนมั่ง
เจ้าใหญ่นายโตท่านนี้ถึงกับหน้าซีดหายเมา
เข่าอ่อนยวบ
ยกมือไหว้หาญประหลกๆ
“อย่ายิงกูๆ”
หาญก็ไม่ยิง
น่าขันที่สุด
ทั้งยังน่าละอายใจจริงๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่หาญข้ามโขงมาอยู่แถวนั้นใหม่ๆ
หลังเหตุการณ์นี้หาญได้อยู่ที่ภูผานางคอยอย่างสงบขึ้น
ได้ยินว่าเจ้าใหญ่นายโตท่านนี้มีส่วนช่วยเหลือโดยปล่อยให้อยู่กันในแถบนั้น ไม่ส่งใครเข้าไปรบกวน
ในที่สุดอาจเกี่ยวเนื่องไปถึงการแปรเป็นกันชนในแนวชายแดนด้านนี้