เรื่องของคนถือพระ
พรุ่งนี้ผมจะไปเขมรไปดูนครวัด ที่คนเขาพูดกันว่า ถ้าได้เห็นแล้วจะนึกเปรียบเขาพระวิหารให้เป็นได้แค่ศาลพระภูมิ
ใครที่เคยตื่นตะลึงกับเขาพระวิหาร อาจช็อคเอาง่าย ๆ เมื่อเห็นนครวัดว่างั้นเถอะ
ผมไม่เคยสงสัยในความยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเหมือนที่เคยเห็นกำแพงเมืองจีน แต่อัศจรรย์ใจในความสามารถของมนุษย์กับผลงานที่ดูเหลือเชื่อเช่นนี้ โดยเฉพาะสำหรับคนโบราณ ที่คนทุกวันนี้มีขีดขั้นสามารถที่เหนือกว่าอย่างเปรียบไม่ได้จะต้องฉงน
ตึกสูง ๆ นับร้อยชั้นหรือแม้แต่การเดินทางไปอวกาศเป็นว่าเล่นก็ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ เพราะเรารู้ว่าคนทุกวันนี้สามารถทำได้
มีใครเคยไปดูพระมาหาเจดีย์ชัยมงคลของหลวงปู่ศรี มหาวีโร ที่วัดผาน้ำย้อย จ.ร้อยเอ็ดบ้าง แม้ยังสร้างไม่เสร็จก็เอาผมถึงกับอึ้งไปขณะหนึ่ง
ผมไม่แปลกใจว่าทำไมจึงสร้างได้ใหญ่โตประณีต และวิจิตรพิสดารปานนั้น แต่ประหลาดใจว่าอะไรคือแรงจูงใจ และผลักดันให้เกิดการสร้างอย่างนี้ขึ้นมา
ปัจจัยในการก่อสร้างในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของธุรกิจการค้า หรือแสดงศักยภาพอำนาจของผู้มีความสามารถ แต่จะหาผู้สร้างด้วยศรัทธาในศาสนายากมาก ไม่เหมือนในอดีตที่โดยมากมีแรงบันดาลใจจากศาสนา
พระมหาเจดีย์ชัยมงคลคือภาพแทนของอดีต ซึ่งทำให้พอจะนึกออกว่า ทำไมนครวัดจึงเกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของโลก เรื่องของคนที่ยังจะต้องอยู่ในโลกยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
ถ้าเป็นคนที่จะหนีโลกจะไปให้พ้นจากโลกแล้วแทบไม่ได้สร้างอะไรเลย แค่เพิงหมาแหงนพอบังแดดบังฝนก็พอ ไม่สนใจไยดีกับสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่แล้ว ไม่สนใจที่จะก่อสร้างสิ่งที่ยังไม่มี พ้นโลกไปแล้วก็แล้ว
อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ถ้าเราทำความเข้าใจเรื่องโลกียธรรมกับโลกุตรธรรมให้ดี ก็จะเป็นผู้ที่มีสายตาในการมองทุกสรรพสิ่งในโลกอย่างเข้าอกเห็นใจ พบเห็นสิ่งใดสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือโลกียธรรม อะไรคือโลกุตรธรรม
เห็นคนนั่งกินอาหารในเหลา สั่งมาเต็มโต๊ะเหลือเฟือ จนกินไม่หมด ก็ไม่ว่าเขา เพราะรู้จักว่านั้นเป็นโลกียธรรม คนเขากินเพื่อความสุข บำเรอกิเลสตัณหาของเขา บำรุงร่างกายของเขา ถึงพุงเขาจะใหญ่ไปหน่อยก็ไม่หมั่นไส้เขา ดูแล้วออกจะน่ารักน่าใคร่น่าหนุนนอนเล่นสักงีบ อาหารบนโต๊ะก็คือเครื่องประดับวาสนาบารมีของเขา
กระทั่งปลาทูทอดบนโต๊ะนั้นน่าจะอยู่บนโต๊ะอาหารของเราจึงจะสมฐานะปลาทู
แต่พอไปอยู่บนโต๊ะของเขา แหม…ปลาทูนั้นก็ช่างสง่างาม น่ารับประทานจริงจริ๊ง
คนมีวาสนาบารมีขนาดนี้ เมื่อจะเป็นผู้มีจิตใจใฝ่ในการบุญกุศลก็จะทำอย่างยิ่งใหญ่ไปด้วย จะถวายอาหารพระภิกษุสักรูปหนึ่ง อาหารก็จะสูงท่วมตัวพระภิกษุ อาหารดีๆทั้งนั้น เพราะหวังว่าจะเกิดบุญยิ่งใหญ่ บันดาลให้เขามีความสุข ความเจริญ ส่วนพระจะฉันอาหารแค่หยิบอาหารอย่างละคำก็อิ่มก่อนจะหยิบได้ครบด้วยซ้ำไป ส่วนเราผู้เฝ้าดูด้วยความชื่นชมบารมีท่านก็จะพลอยอิ่มอร่อยสำราญเบิกบานกับอาหารที่เหลือจากพระฉัน ส่วนท่านก็จะนั่งดูเราอนุโมทนาอย่างยิ้มแย้มเป็นสุขในทานที่แผ่มาถึงเราด้วย
ต้องนึกเสมอว่า ท่านผู้นั้นช่างดีจังเลย วิเศษจังเลย คนอะไรไม่รู้ใจบุญสุนทานมหาศาล ไม่ได้อิจฉาเขาเลย ไม่กินของเขาไปแล้วกัดฟันกรอดๆ เคี้ยวไฟแห่งริษยาไปด้วย เพราะว่าเราเข้าใจเรื่องโลกียธรรมอย่างถ่องแท้
เขามีความสุขที่ได้ทำและทำได้ขนาดนั้น เราก็โมทนาสาธุมีความสุขไปกับเขา
โลกียธรรมเป็นเรื่องธรรมที่ตั้งอยู่บนสมมติ สิ่งที่เป็นสมมติทั้งหมดยอมรับว่ามีจริง คือมีคน มีสัตว์ มีสุข มีเจริญ มีเสื่อม มีกรรมดี มีกรรมชั่ว มีบาป มีบุญ ที่มีผลต่อสมมติทั้งสิ้น
คือเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว จะต้องกิน จะต้องใช้ จะต้องประกอบอาชีพหาทรัพย์ หรือทำทุกอย่างเพื่อชีวิตที่เกิดขึ้นนี้จะดำรงอยู่ได้อย่างสุขสบาย จะประกอบกรรมดีก็หวังว่าผลของกรรมดีนั้นจะบันดาลให้มีชีวิตสุขสบายขึ้น ถวายอาหารดีๆ แพงๆ เยอะๆ ก็เพื่อผลจะย้อนกลับมาสนองให้ตนเองมีกินมีใช้ไม่หมด ไม่สิ้น และดียิ่งกว่าเดิม ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดเลยเพราะเป็นโลกียธรรม
ถ้าเป็นโลกุตรธรรมแล้ว จะพ้นไปจากสมมติคือเป็นธรรมที่ตั้งอยู่บนอริยสัจ เห็นแต่เรื่องของ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เห็นเหตุที่ทำให้จะต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตาย ภพแล้วภพเล่า เห็นการดับทุกข์ คือ ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงจะดับทุกข์ได้ และศึกษาวิธีดับทุกข์คือ มรรค 8 ประการ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีเดียวที่จะดับทุกข์ได้หมดสิ้น
คนที่จะเดินอยู่บนถนนสายโลกุตรธรรมคงจะต้องออกไปอยู่ป่า อยู่เขา ถือศีล 227 ข้อเท่านั้น
คนโลกุตรธรรมจะเพียรพยายามทำให้ตนเองเห็นว่า เป็นคนนี้มันทุกข์อย่างเดียว ไม่มีสุขเลย จึงไม่ไยดีในการเป็นคนต้องหนีการเป็นคนไปให้พ้น ซึ่งที่จะหนีได้พ้นแบบไม่ต้องกลับมาเป็นคนอีกคือ ไปให้ถึงพระนิพพานให้ได้
อย่างท่านเจ้าคุณนรฯ ได้พูดไว้ว่า สุขจากการดูหนังดูละครมี สุขจากการใช้จ่ายใช้สอยมี (ซึ่งจะรวมถึงสุขในทางโลกียทั้งหมด) แต่สุขใดจะเท่าสุขจากความสงบไม่มี
สงบจากอะไร สงบจากทุกข์ที่เห็นว่ามีอยู่เมื่อเกิดเป็นคนนั่นเอง
ดังนั้นเมื่อกินอาหารก็จะพิจารณาว่า อาหารนี้เป็นอาหารใหม่ พอมาต้องกายที่สกปรกนี้ อาหารก็จะสกปรกไปด้วย แม้แต่เสื้อผ้าก็จะสกปรกเมื่อมาต้องกายนี้ นี่คือธรรมที่พิจารณาเพื่อให้เบื่อหน่ายในการเกิดมาเป็นคน
พอลงมือฉันอาหารที่เจ้าสัวท่านมาถวาย ก็จะพิจารณาว่า เรากินเพื่อดำรงธาตุขันธ์ของเราให้อยู่ได้เพื่อจะมีแรงในการประพฤติปฏิบัติ ต่อไป ไม่ได้ฉันเพื่อความเอร็ดอร่อย พอเริ่มจะอร่อยก็รีบหยุดรีบอิ่มแล้วดื่มน้ำตามทันทีเพื่อให้อิ่ม ให้พ้นจากความอร่อย คือพ้นจากกิเลสของตนเอง
หลวงพ่อชา ท่านเคยสอนว่า อาหารใดที่เราชอบ เราไม่กิน อาหารใดที่เราเกลียดหรือไม่ชอบ ให้กินอาหารนั้น เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องจะต้องสวนทางกับกิเลสเสมอ
สำหรับคนแบบผม ซึ่งยังติดอยู่ในสมมติอยู่กับโลกียธรรม พอตื่นขึ้นมาก็จะนึกว่า วันนี้จะกินมื้อเช้าที่ไหนดี กินอะไรดี โจ๊กสักถ้วยดีมั้ย ไม่เอาดีกว่า กินมา 2 วันซ้อนแล้วชักจะเบื่อ เอาขาหมูดีกว่า แต่หมอบอกว่ากินแล้วมันจะเป็นโรคอ้วน ช่างหัวหมอปะไรก็เราอยากกินนี่หว่า อ้วนอีกหน่อยไม่เห็นเป็นไร อ้วนก็ดูสง่ามีราศีดีเหมือนกัน ส่วนโรคหัวใจ ยังไม่เป็นนี่กินอีกสัก 2 จาน ก็ยังไม่เป็นหรอกน่า จะให้อร่อยยิ่งขึ้นก็ต้องมีเกาเหลาเลือดหมูอีกสักชาม จะได้คล่องคอ อย่าเพิ่งไปนึกถึงมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นเลย
ใครจะมาว่าผมไม่ได้เพราะผมยังไม่ว่าตนเองเลย ก็ผมเข้าใจดีว่า ผมยังไม่หลุดพ้นอะไร ยังมีกิเลสเต็มตัว ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิด คนอื่นจะเอาอย่างผมมั่ง ผมก็ไม่ว่าเหมือนกัน
โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ถ้าไม่เข้าใจแล้วออกจะเป็นเรื่องสับสนพอสมควร แม้แต่ผู้สอนธรรมเองก็ยังสับสน ไม่รู้ว่าตนเองกำลังสอนอะไร และไม่เข้าใจว่าผู้ที่รับคำสอนของตนเองนั้นเป็นอย่างไร
สมัยหนึ่งกระแส ของการต่อต้านวัตถุมงคล หรือพระเครื่องนั้นรุนแรงมาก บางคนลุกออกมาโจมตีคนแขวนพระเครื่องว่างมงายไร้สาระ พระเครื่องไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์จริงหรอก เอามาลองยิงออกโทรทัศน์ให้ดูก็หลายหน พระเครื่องก็กระจุยกระจายจริงๆ ซึ่งที่พยายามทำเช่นนี้ เพื่อจะให้พระเครื่องสาบสูญไปก็ไม่ทราบ
ถ้าจะมองให้เป็นที่เข้าอกเข้าใจ ก็จะเห็นว่าคนแขวนพระนั้นคือคนที่ยังมีศาสนาพุทธอยู่ในหัวใจ เป็นคนที่เดินอยู่ในทางโลกียธรรม ยังถือพระเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งเวลามีภัยอันตราย ทั้งนี้ก็เพราะยังรักชีวิต ยังหวังความปลอดภัยในชีวิตจึงเอาพระนั้นเป็นที่หวังว่าจะอำนวยประโยชน์ได้
คนที่จะต้องออกไปยิงสู้กับเขา ก็จะหาพระกันปืน คนที่จะออกไปค้าขายก็จะหาพระที่เชื่อว่าบันดาลโชคลาภได้ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของธาตุขันธ์ตัวเอง ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรเลย ทำไมจะต้องมาว่ากันด้วย เวลามีอันตรายเกิดขึ้นที่พอจะทำให้เจ็บถึงตายได้ คนยังมีสติบ้างก็จะเอามือกุมพระในคอเป็นที่พึ่ง ส่วนคนที่ไม่แขวนพระหรือต่อต้านพระ จะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เมื่อไม่มีพระในคอก็จะร้องหาหลวงพ่อ หลวงปู่หรือสิ่งใดก็ตามที่ตนเองนับถือจนเสียงหลงเพื่อขอให้สิ่งนั้นช่วย
ถ้ายังไม่เป็นโลกุตรธรรมแล้วล้วนแต่ร้องหาที่พึ่งทั้งนั้น
โลกุตรธรรมอย่างแท้จริง เมื่อเกิดเหตุอันตรายก็จะกำหนดทันทีว่า เออ…ความตายจะเกิดขึ้นแล้ว อริยสัจแสดงความจริงแล้ว เราไม่อาลัยในชีวิตแล้ว เราปฏิบัติมาแสนนานก็เพื่อจะเผชิญหน้ากับความตายนี้แล เราหนีไม่พ้นหรอก
ตายเป็นตายวะ… จะว่าอย่างนั้นก็ได้
เหมือนคราวที่พี่ชายของผมโดนเขาขู่จะฆ่าก็วิ่งโร่มาหาผม และผมก็พาไปกราบหลวงปู่คำพันธ์ แทนที่ท่านจะให้ของขลังกันเขาฆ่า ท่านกลับสอนว่า
“เราต้องคิดอย่างนี้ เขาจะฆ่าเรา เราก็ตาย เขาไม่ฆ่าเรา เราก็ตาย”
นี่โลกุตรธรรมแท้ๆ จะบอกให้
ส่วนคนที่ต่อต้านพระเครื่องนั้น ทำเช่นนี้ได้หรือยัง
ครูบาอาจารย์ที่สอนโลกุตรธรรมหลายองค์ยังสงเคราะห์โลกียธรรม ด้วยการเสกพระเครื่องให้ไม่รู้กี่รุ่น เพราะท่านรู้ว่านี่เป็นเรื่องของคนที่ยังคงจะต้องอยู่ในโลก
เมื่อจะต้องอยู่ในโลกแล้ว ก็ทำความเข้าใจเห็นอกเห็นใจกันเถิด
แค่นี้โลกก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว
ผมก็ยังจะวุ่นอยู่กับการสืบหาพระเครื่องดีต่อไป.
—————————————–
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศักดิ์สิทธ์ ฉบับที่ 504 ราวๆปี ๒๕๔๖
(มีการปรับรุงแก้ไขตัดทอนบางประโยคโดยผู้เขียนเอง)