เมื่อเจ็บป่วย _ หายก็เอา ไม่หายก็เอา
หมู่นี้มีข่าวคนรู้จักมักจี่ใกล้ชิดสนิทเชื้อทะยอยกันเจ็บป่วยล้มตายไปแล้วหลายคน
ถือเป็นสัญญาณเตือนตนว่าเรื่องความไข้เจ็บและความตายกำลังใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที
หลังจากจากที่ความเกิดกับความแก่นั้นได้อุบัติมานานแล้ว
เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
—
บางคนพูดว่า
“ร่างกายของเราใช้ให้คุ้ม”
นี่เป็นคำพูดที่ดี
เป็นคำพูดให้ปลงสังเวชตนเอง
ทำให้ฉุกใจพิจารณาจนเห็นว่าร่างกายนี้ก็เป็นเพียงของใช้อย่างหนึ่ง มีเสื่อมสภาพ มีหมดอายุและในที่สุดจะสลายไป
—
ความไข้เจ็บจะเปรียบไปก็อาจเหมือนข้าวของเครื่องใช้กำลังชำรุด
ซ่อมได้ก็ซ่อม
ซ่อมไม่ได้ก็ต้องทิ้ง ..เลิกใช้
—
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
โรคบางโรครักษาจึงหาย
โรคบางโรครักษาก็ไม่หาย
โรคบางโรคไม่รักษาก็หาย
โรคบางโรคไม่รักษาก็ไม่หาย
—
เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งของผมเป็นหมอ..ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณคือ ผอ.โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
หลังเกษียณแล้วหลายปี คุณหมอพบว่าตนเองเจ็บป่วยด้วยโรคภัยหลายโรค
โรคร้ายๆคือ โรคหัวใจ กับ โรคไต
คุณหมอได้บอกกับบรรดาหมอด้วยกันว่า อย่าบอกเรื่องเจ็บป่วยของเขาแก่ภรรยาและญาติมิตรทุกคน และจะไม่ขอรับการรักษาจากหมอคนไหนทั้งสิ้น
คุณหมอบอกว่า
” ผมแก่แล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำอะไร.. ผมจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ”
เมื่อฟังแล้วก็เข้าใจว่าคุณหมอสามารถทำใจปลงตกยอมรับเพทภัยที่กำลังเกิดกับสังขารร่างกายของตนเองได้
หลวงพ่อชาเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อเจ็บป่วยก็ให้ทำใจยอมรับให้ได้ทั้ง ๒ อย่าง
“หายก็เอา , ไม่หายก็เอา”
—
ในที่สุดวันหนึ่งคุณหมอก็ช้อคหมดสติ
ถูกหามเข้าห้องไอซียู
และอยู่ในนั้น ๒-๓ วัน
จึงเสียชีวิต
—
ผมเล่าเรื่องนี้ทำไม ?
เพราะผมเห็นว่าคุณหมอได้ทำในสิ่งที่เรียกว่าน่าสนใจมาก
ความที่เป็นหมอ เคยผ่านการรักษาคนป่วยมาไม่รู้เท่าไหร่ คุณหมอจึงรู้ดีว่า โรคชนิดไหนรักษาได้ รักษาไม่ได้
เมื่อรู้ว่าโรคของตนเองนั้น ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ จะมัวเสียเวลารักษาทำไม ถึงจะเสียเงินทองจนหมดเนื้อหมดตัวเพื่อรักษาไปก็ไม่มีทางหายขาด
จะทำได้เพียงแค่ยืดเวลาออกไปอีกสักระยะหนึ่งเท่านั้น
ในที่สุดก็จะหนีไม่พ้น
—
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมสังเวช ที่ใครจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม
เมื่อถือกำเนิดขึ้นมาแล้วก็จะต้องแก่ จะต้องเจ็บ จะต้องตาย เหมือนกันทุกคน
บางทีจะเป็นมรณานุสติธรรมที่คุณหมอถือปฏิบัติไว้จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต