มนต์สะกดลูกไก่ของหลวงตาทางหลวง

พ่อใหญ่บุญเลิศ เพียรเพิ่มพูน เล่าว่าสมัยปี ๒๕๑๖ ได้ไปรับจ้างขุดสระที่หมู่บ้านหนึ่ง ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยให้ลูกน้องเอารถแบคโฮล่วงหน้าเข้าไปพื้นที่งานก่อน

ลูกน้องไปถึงแล้วก็โทรฯกลับมาบอกว่าทั้งหมู่บ้านไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

พ่อใหญ่บุญเลิศถามว่าคนทั้งหมู่บ้านหายไปไหนหมด

ลูกน้องตอบว่าเขาพากันไปกราบหลวงตาสรวง

พ่อใหญ่บุญเลิศไม่เคยได้ยินหรือรู้จักหลวงตาสรวง.. นึกสงสัยว่าพระอะไรกัน สามารถทำให้คนทั้งหมู่บ้านแห่ไปกราบ.. จนทำให้หมู่บ้านถึงกับร้าง

เวลานั้นหลวงตาสรวงท่านมาที่หมู่บ้านหนึ่ง ..ไกลจากหมู่บ้านที่พ่อใหญ่บุญเลิศไปรับงานขุดสระราวๆ20กว่ากิโล

คนทั้งหมู่บ้านนี้เมื่อทราบว่าหลวงตามา ก็พากันหอบลูกจูงหลานไปกราบหลวงตาที่หมู่บ้านโน้นกันจนหมด

พ่อใหญ่บุญเลิศก็เลยตามไปดู

“พอไปเห็น..โอ๊ยย..มันอะไรกันนักกันหนา..พระซกมก นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับขี้ดิน.. พระสกปรกขี้ไคลขึ้นเป็นคราบ ขี้ตาก้อนเท่าเม็ดถั่ว น้ำลายก็ไหลเยิ้ม ขอโทษนะหลาน..หำก็โผล่ออกมาทั้งพวงอีกด้วย”

พ่อใหญ่บุญเลิศบอกว่า.. เห็นแล้วเกิดความเอน็จอนาถแกมสมเพชอย่างบอกไม่ถูก..พระก็เหมือนผีบ้า.. ชาวบ้านยิ่งบ้าหนักกว่าอีก.. มาแห่มาแหนล้อมหน้าล้อมหลังกราบพระบ้ากันประหลกๆ

“..พ่อเองนึกทุเรศทุรังหลวงตาในใจเท่านั้น หลวงตาก็ทำปากจู๋ ส่งเสียงจุ๊กๆ นิ้วชี้ก็เคาะลงที่พื้นดินป๊อกๆๆสามครั้ง..โน่น..แม่ไก่ มันกำลังหากินหาเลี้ยงลูกเจี๊ยบอยู่ฝูงหนึ่ง มันหยุดกึก หันกลับมา แล้วก็ทั้งบินทั้งวิ่งมาหาหลวงตา
ทั้งแม่ทั้งลูกวิ่งกันปานกับกลัวจะมาไม่ทัน คือมันแย่งกันวิ่งสลับบินมาหาหลวงตาแบบรีบร้อนที่สุด..ตัวแม่ไก่มาหมอบนิ่งอยู่ข้าง ๆ หลวงตา ส่วนลูกๆพอมาถึงก็โดดขึ้นเล่นบนตัวหลวงตา..น่ารักมาก”

พ่อใหญ่บุญเลิศบอกว่าเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ชักจะนึกแปลกประหลาดใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ครู่ต่อมาหลวงตาก็เอานิ้วมือขีดเขียนลงพื้นดินเป็นวงกลมเล็กๆ
จับลูกไก่ตัวหนึ่งวางใส่ในวงกลม
แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินขึ้นไปนั่งอยู่บนกระท่อมใกล้ๆนั้น

ทีนี้แม่ไก่กับลูกของมันทั้งฝูงก็กลับออกไปคุ้ยเขี่ยหากินไตามปกติเหมือนเดิม

เว้นแต่ลูกไก่ตัวที่อยู่ในวงกลมเท่านั้นไม่ไปไหน

“มันนอนเล่นเหมือนกำลังมีความสุขมาก ไซ้ขนตัวเองจิ๊กๆ นอนเหยียดแข้งเหยียดขา พ่อแอบย่องเข้าไปจับมันออกมาปล่อยนอกวงกลม มันก็วิ่งกลับเข้าไปอยู่ในวงกลมอีก จับมันออกมาอีกที มันก็กลับเข้าไปในวงกลมเหมือนเก่าอยู่ ๒-๓ รอบ “

ตอนนี้พ่อใหญ่บุญเลิศตาสว่างแล้วครับ..รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาหลวงที่กระท่อม

พอก้มลงจะกราบเท้า

“..ท่านชักเท้าหนีไม่ให้กราบ พ่อก็ขยับตามเท้าท่านเข้าไปจะกราบให้ได้ ท่านก็ชักเท้าหนีอีกจึงตัดสินใจจับขาท่านไว้ไม่ให้หนี ทีนี้ได้กราบสมใจ แล้วก็ขอขมาต่อท่านว่า.. ลูกหลานผิดไปแล้ว มองคนก็แค่เปลือก ไม่ใด้มองถึงเนื้อใน จึงเป็นเหตุให้นึกประมาทครูบาอาจารย์หลวงตา..”

” ลูกไก่ที่อยู่ในวงกลมล่ะเป็นอย่างไรต่อไป “ ผมถามพ่อใหญ่บุญเลิศ
” สักครู่หลวงตาทำปากเป่าลมพ้วงออกไป มันก็วิ่งออกจากวงกลมกลับไปหาแม่ของมัน”
“หลังจากเห็นอัศจรรย์เรื่องลูกไก่ พ่อใหญ่ก็เลยกลายเป็นผู้ติตตามรับใช้หลวงตาไปจนมรณภาพ “
“กว่าท่านจะยอมให้ไปด้วยก็อีกนานเป็นเดือน.. ระหว่างนั้นตามท่านไปอย่างเดียว ไม่ให้คลาดสายตา ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนก็ตาม “
“ท่านก็ยอมให้ตามหรือขะรับ”
“ท่านไล่ให้หนี ไม่ให้ตาม แต่ลุงเล่นลูกตื๊อไม่ยอมถอย ท่านไล่ เราก็หลบไปอยู่ห่างๆ พอเผลอๆก็กลับเข้ามา เป็นแบบนี้อยู่จนกระทั่งวันหนึ่งลุงเหนื่อยหลาย หิวก็หิว ข้าวไม่ได้กินทั้งวัน เผลอหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ตัว จนมืดจนค่ำ มาตื่นขึ้นก็เพราะมีคนมาปลุก “
“หลวงตาปลุก ?”
” เปล่าๆ.. ท่านน่ะหนีไปแล้ว.. แต่เกิดเปลี่ยนใจยังไงไม่รู้ ท่านให้ลูกศิษย์ที่เป็นคนไม่เต็มบาทย้อนกลับมาปลุก “
“อ้าว..ก็ไหนว่าท่านไม่มีลูกศิษย์”
“ไม่เชิงลูกศิษย์..คือหลวงตาชอบจะมีผู้ติดตามประจำอยู่สามคน แต่ไม่ได้ติดตามพร้อมกันทั้งสามคน ท่านให้ตามแค่ทีละคนเท่านั้น แล้วทั้งสามคนเป็นพวกไม่เต็มบาทด้วยกัน คนไม่เต็มบาทนี่แหละมาปลุก มันบอกว่าหลวงตาไปแล้วๆๆ หลวงตาให้มาตามลุงให้ตามไป”

พ่อใหญ่บุญเลิศเล่าต่อไปว่า

“หลวงตาท่านรออยู่อีกที่หนึ่ง ไกลพอสมควร เมื่อพ่อไปถึงแล้ว ท่านพาพ่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้เลยว่าจะพาไปไหน ไฟฉายก็ไม่มี เดินตามท่านไป จนไปทะลุถึงหมู่บ้านหนึ่ง ..ท่านไปปลุกชาวบ้าน บอกให้เขาหาข้าวให้ลุงกิน ท่านว่าหาข้าวให้ลูกชายกินหน่อย ลูกชายหิวข้าว บ้านนั้นเอาปลากระป๋องมาเปิดให้กินกับข้าวเหนียว หิวจนตะกรุมตะกราม กินเกลี้ยงไม่มีเหลือ หลวงตาหัวเราะชอบใจ..ตั้งแต่นั้นท่านเรียกพ่อว่าลูก แล้วก็ยอมให้พ่อติดตามท่านตลอด..”

นี่เรียกว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก..พ่อใหญ่บุญเลิศตื๊อจนหลวงตาสรวงใจอ่อน
ผลที่สุด พ่อใหญ่บุญเลิศ ก็ได้กลายเป็นคนขับรถให้หลวงตาสรวงจรดลไปทั่วแว่นแคว้นแดนดิน
จนเกิดสมญานามอีกหนึ่งว่า“หลวงตาทางหลวง”

Untitled-1-S17

พ่อใหญ่บุญเลิศสมัยติดตามรับใช้หลวงตายุคแรกราวๆปี ๒๕๑๖ 

 

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน