พระครูเทพโลกอุดรมีจริงหรือไม่
มีผู้บอกว่า….
เพราะพระครูเทพโลกอุดรเจริญอิทธิบาท ๔
จึงมีอายุยืนเป็นพันเป็นหมื่นปี
คนทั้งหลายก็เลยเห็นว่าอิทธิบาท ๔ คือเคล็ดวิชาอายุยืน
—
อิทธิบาท ๔ คืออะไร
๑. ฉันทะ มีความพอใจ ความรักใคร่ ความยินดีในการประกอบสิ่งนั้นไม่วางธุระ
๒. วิริยะ มีความพากเพียร ความพยายามในการประกอบสิ่งนั้นไม่วางธุระ
๓. จิตตะ มีความเอาใจใส่ ความฝักใฝ่ ความสนใจในการประกอบสิ่งนั้นไม่วางธุระ
๔. วิมังสา มีความหมั่นสอดส่องไตร่ตรองพิจารณาหาเหตุหาผลในการประกอบสิ่งนั้นไม่วางธุระ
—-
อิทธิบาท ๔ เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า
ทรงให้ไว้เพื่อสานุศิษย์พึงรู้จักยึดไว้เป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อเพื่อบรรลุธรรม
เรียกว่าเพื่อกระทำจนรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมปฏิบัติ จนเป็นผู้พ้นโลก เข้าสู่พระนิพพานได้
เพราะว่าการที่ใครๆจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเหลือวิสัย ท่านจึงให้หลักการนี้ไว้ เพื่อเป็นหลักปฏิบัติจนถึงที่สุด
—
ใครมีธรรม ๔ ประการนี้ ทำอะไรย่อมสำเร็จ
ใครก็ตามที่มุ่งมั่นกันจริงจัง ไม่เหลาะแหละทำเป็นเล่น ย่อมถึงที่สุดแห่งความสำเร็จได้ทุกคน
แค่จะช้าหรือเร็วต่างกันเท่านั้น
—
หลักธรรมอิทธิบาท ๔ ที่พระองค์ท่านทรงแสดงสามารถนำไปใช้กับการทำงานในทางโลกหรือทำอะไรๆก็ได้
เพราะมันมีหลักการเดียวกัน
ท่านชี้ให้เห็นว่าอะไรก็ตามที่คนเรานั้นจะสามารถทำสำเร็จได้ก็ต้องด้วยมีหลัก ๔ ประการนี้
จะมีโดยรู้ตัวหรือมีโดยไม่รู้ตัวก็ตาม
—-
อิทธิบาท๔ นั้น ขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้
ถ้ามีแค่ ๓ ข้อแรก ไม่มีข้อ ๔ คือขาดการพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลถูกผิดก็ไม่มีทางบรรลุธรรมสำเร็จ
เผลอๆบางคนอาจหลงผิดหลงทางเข้ารกเข้าพงดงลึกจนหาทางออกไม่เจอ
ดังที่เราท่านมักได้ยลยินว่าผู้ทำตนเป็นครูเขาชอบสอนธรรมที่นึกเอาเดาเอา ธรรมนั้นจึงเพี้ยนๆบ้าๆบอๆอยู่บ่อยๆ
—-
สำหรับอิทธิบาท๔ของพระครูเทพโลกอุดร เป็นอิทธิบาท ๔ ที่เจริญเพื่อจะให้ตนเองอายุยืนไม่ตายง่ายๆ
วันๆจึงเอาแต่พากเพียรปฏิบัติหาวิธี หาช่องทางที่จะไม่ตาย
—
นึกสงสัยไหมว่าทำไมจึงไม่เห็นการมีอายุยืนนั้นเป็นทุกข์
ไม่เห็นว่าสังขารร่างกายนี้มันเป็นก้อนทุกข์
แทนที่จะรีบๆทำจนบรรลุถึงพระนิพพานเพื่อพ้นทุกข์ กลับคิดและเพียรไตร่ตรองแต่จะหาวิธียืดอายุสังขารร่างกายออกไป เพื่อแบกก้อนทุกข์ต่อไปอีกเป็นพันๆปี
นึกไม่ออกเลยว่าท่านพระครูฯอยากจะมีอายุยืนเป็นพันๆปีเพื่ออะไร
ไม่แน่ว่าท่านพระครูฯอาจจะเห็นอะไรของท่าน
คือเห็นว่าพระนิพพานไม่น่าอยู่ไม่น่าไป
สู้มีอายุยืนไม่ได้
สนุกกว่าเยอะ
การที่จะได้มีชีวิตอยู่เป็นคนไปตลอดกาลนานนั้นดีกว่าตายไปอยู่พระนิพพาน
หลวงปู่สังข์เคยบอกว่าได้อธิษฐานไว้จะขอตายตอนอายุ ๑๒๙ ปี
แค่อายุ ๙๐ กว่าก็ลุกนั่งลำบาก ไปไหนมาไหนไม่ได้
อยากจะเหาะไปไหนๆ ก็เหาะไม่ได้
อยากจะย่อแผ่นดินสั้นๆสะดวกเดินก็ย่อไม่ได้
เดินเข้าห้องน้ำยังล้มจนเจ็บปางตายอยู่หลายวันกว่าจะหาย
ทรมานจริงๆ
สุดท้ายก็มรณภาพไปเมื่ออายุเฉียดร้อยปี
—
กล่าวโดยสรุปแล้ว.. เรื่องพระครูเทพโลกอุดรก็เหมือนเรื่องโมเมขึ้นมาเช่นเดียวกับเรื่องโมเมอีกมากมายหลายเรื่องที่คนทั้งหลายพากันเชื่อ
เชื่อว่าท่านมีตัวตนจริง
เชื่อลมๆแล้งๆว่าวันหนึ่งจะได้พบตัวท่าน
ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าพบแล้วเป็นอย่างไรต่อไป
—
เรื่องนี้ถ้าจะว่าไปแล้วย่อมเข้าข่ายเชื่อถือไม่ได้
เพียงแค่สมณศักดิ์พระครูก็ยังเป็นเรื่องที่เชื่อไม่ได้
สมัยพุทธกาลหรือหลังพุทธกาลอีกนับพันปีก็ยังไม่มีตำแหน่งพระครู
ถ้ามีจริงเราท่านก็คงจะได้ยินว่ามีพระครูโมคคัลลาน์ พระครูสารีบุตร ฯลฯ
สมณศักดิ์พระครูเพิ่งมีไม่กี่ร้อยปีนี่เอง
ถ้าพระโลกอุดรจะได้เป็นพระครู ก็คงเพิ่งได้ไม่นานมานี้เอง
ถามว่าได้จากใคร
ผู้ใดเป็นผู้สถาปนาสมณศักดิ์พระครูให้พระโลกอุดร
ถึงกับมีผู้ไปหาเอาใบสุทธิพระครูมาอวดอ้างเป็นหลักฐานอีกด้วย
ทั้งสมณศักดิ์พระครูกับใบสุทธิ
จัดว่าเป็นเรื่องตื้นเขินเกินไป
ทำไมจึงไม่พากันเฉลียวใจว่ามันไม่ได้เป็นหลักฐานสำคัญบ่งชี้ว่าพระครูเทพโลกอุดรมีตัวตนจริง
ตรงกันข้ามกลับเป็นเรื่องเลอะเทอะยกใหญ่
เลอะเพราะใบสุทธิกับสมณศักดิ์นี่เอง
นี่จึงเป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้เห็นว่าใครก็ตามเอ่ยเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นผู้งมงายไร้สาระทั้งนั้น
ครูบาอาจารย์สายกัมมัฏฐานตั้งแต่ปู่มั่น ปู่เสาร์ ปู่สิงห์ ลงมาหา ปู่แหวน ปู่ขาว ปู่ฝั้น ปู่ชา ปู่ชอบ ฯลฯ
ไม่มีแม้แต่องค์เดียวจะเอ่ยเรื่องพระครูเทพโลกอุดร
ฉุกใจคิดสักนิดหน่อยก็ยังดี
อย่างน้อยก็นึกถึงกาลามสูตรไว้ก่อน
จะได้ไม่รีบร้อนเชื่ออะไรง่ายๆจนเกินไป
—–
หมายเหตุ : ข้อเขียนเป็นความเห็นของ อำพล เจน หากไม่ต้องตรงกับท่านใดกราบขออภัยด้วย
ภาพพระใบฏีกาพรหม ที่ถูกนำเอาไปตู่ว่าเป็นพระครูเทพโลกอุดรจนคนทั้งบ้านทั้งเมืองหลงเชื่อ