“แรกๆเรารักษาศีล ต่อไปภายหน้าศีลจะรักษาเรา”

คำถามที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ ที่ผมตีความว่าเป็นการปฏิบัติตนในทางธรรม

การปฏิบัติของผมนั้นก็เหมือนๆกับทุกท่าน คือมีแนวทางและหลักการตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเอาไว้
ที่เราเห็นว่ามันยุ่งยากมากหลายสำนักสั่งสอน ก็ด้วยดอกบัว4เหล่าที่ท่านเปรียบใส่คนเรานี่แหละ

คือมีทั้งโง่สุดๆไปจนถึงฉลาดสุดๆ

ครูที่สอนวิชาใดวิชาหนึ่งมีแค่คนเดียวแต่ลูกศิษย์ทั้งห้องมีมากกว่า30คน สอนอยู่หน้ากระดานดำด้วยคำสอนเดียวกัน ก็จะมีทั้งผู้เข้าใจดี เข้าใจพอสมควร กับไม่เข้าใจเลย
ถึงเวลาสอบก็จะมีผู้สอบได้ที่1 ที่2 จนกระทั่งที่โหล่หรือสอบตก

ก็เพราะดอกบัว4เหล่านี่แหละ

ลองนึกถึงพระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกให้ปัญจวัคคีย์ฟังสิครับ
ปัญจวัคคีย์ฟังครั้งเดียวสามารถเข้าใจบรรลุธรรมเป็นขั้นๆไป ตามภูมิปัญญาของแต่ละคน ในทันทีที่ฟังจบ

แต่บางคนฟังพระพุทธเจ้าเป็นร้อยครั้ง พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศน์ที่ไหน ตามแจไปฟังเหมือนคนติดคอนเสิร์ท ฟังจนตายยังไม่รู้เรื่อง จนกลับชาติมาเกิดใหม่ไม่รู้กี่ชาติ
ถึงขนาด2500ปีต่อมากลับมาเกิดอีกยังไม่รู้เรื่องอยู่เหมือนเก่า

โง่บรมโง่

โง่แบบผมนี่แหละใช่เลย

ไม่งั้นผมเข้าพระนิพพานไปแล้วแต่ครั้งพุทธกาลโน่น

พอมาเจอหลวงปู่พรหมาเข้าให้แล้ว แทนที่จะสนใจศึกษา ถามเอาความรู้เรื่องการปฏิบัติ ก็ไม่ ดันจะเอาแต่ของกันมีดกันปืน

นี่แหละตัวตนจริงๆของผมล่ะ

เป็นเหตุให้สงสัยว่าท่าตัวกูนี้จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกจนถึง5000ปี สิ้นพุทธสมัยเป็นแน่แท้

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ผมไม่ได้เป็นผู้วิเศษวิโสเหนือผู้อื่น
ยังปากเหม็นขี้เหม็นเป็นปกติ ยังเป็นปุถุชนเต็มขั้น
ยังเป็นอะไรๆที่ครูบาอาจารย์ผู้หลุดพ้นแล้วเห็นหน้าผมเมื่อไหร่ เป็นต้องนึกสมเพชสงสาร

เรียกว่าไม่รู้จะช่วยสงเคราะห์มันยังไงดี

สุดท้ายท่านปลงตกเข้ามากระซิบข้างหูผมว่า

“เรื่องพรรค์นี้นะอำพล,ตัวใครตัวมันโว้ย”

* * * * * * *

เมื่อทำความเข้าใจว่าผมไม่ได้ดีเด่ถึงกับจะคิดตั้งตนเป็นอาจารย์สอนธรรมเสียแล้ว
ดังนั้นเมื่อผมจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ย่อมจะมีทั้งพูดผิดพูดถูก
เพราะว่าจะพูดตามประสพการณ์และความเข้าใจของผมคนเดียว
คนอื่นไม่เกี่ยว

แต่อยากบอกว่าอันไหนเห็นว่าถูกก็เอาไปใช้ได้ อันไหนผิดจงโยนทิ้งลงถังขยะทันที อย่าหันกลับไปล้วงมันเอากลับขึ้นมาใช้อีก

***********

การประพฤติปฏิบัติถ้าจะให้บรรลุผลสำเร็จ
ไม่ว่าจะบรรลุช้าหรือเร็วบรรลุมากบรรลุน้อยก็ตาม
แต่รับรองว่าบรรลุแน่
ต้องยึดหลักการและแนวทาง3ประการ

ศีล สมาธิ ปัญญา

พอพูดถึงศีล สมาธิ ปัญญา หลายคนชักง่วงนอน เบื่อหน่าย
ถ้าเป็นงั้นให้รีบทำความเข้าใจทันทีว่าว่านิพพิทากำลังเกิดขึ้นกับตัวกูแล้ว
รีบบอกตนเองโดยพลัน นิพพิทานี้ทำให้เราไปพระนิพพานได้นะ
ทนฟังอีกซักหน่อยน่ะ เผื่อนิพพิทาจะหายไป หรือไม่อาการมันจะหนักขึ้นกว่าเก่า ก็ให้มันรู้ไป

ศีลคือเรื่องจำเป็นนะครับ

ถ้าไม่เริ่มต้นที่ศีล จะต้องพบกับความยากลำบากแสนสาหัสในการที่จะเข้าไปถึงสมาธิ

ด้วยว่าศีลมีผลให้เข้าไปอยู่ในหมวดสติปัฏฐาน4โดยไม่รู้ตัว

สำหรับอรรถาธิบายเริ่มที่ศีลข้อแรกสักข้อเดียวก่อน
ศีลห้ามการฆ่า
เมื่อตั้งใจยึดมั่นรักษาอย่างเคร่งครัดแล้ว ต้องเว้นแม้กระทั่งชีวิตยุงหรือมด

ทำไมผมจึงเห็นว่าศีลเข้าไปเกี่ยวข้องกับสติสัมปชัญญะ

อย่างเช่นผมกำลังทำงานง่วนอยู่ รู้สึกคันๆที่แขนหรือที่ไหนสักแห่งก็ตาม มือก็ลูบไปที่คันนั้น มดหรือยุงก็ตายคามือโดยไม่รู้ตัว

พอรู้ตัวก็ตกใจ

” เอ๊า.. ตายไปซะแล้วปัทโธ่! อุตส่าห์ระวังรักษาไม่ฆ่าสัตว์แท้ๆ ”

หลังจากนั้นความไม่สบายใจจะเกิดขึ้น

ถ้าเป็นผู้รู้น้อยเช่นผมจะสงสัยว่าศีลเราขาดหรือเปล่าหนอ
ถ้ารู้มากจะนึกได้ว่าอาจารย์เคยบอกไว้ หากไม่มีเจตนาจะฆ่าก็ไม่เป็นไร เราก็ไม่มีเจตนาฆ่ามันซะหน่อย ไม่เป็นไรน่ะ ศีลไม่ขาดหรอก

ก็จริงนะครับ

แต่ถ้าเป็นเช่นนี้เรื่อยไป ยุงมดก็ตายโดยเราไม่เจตนาอีกหลายศพ

นี่จึงเรียกว่าขาดสติ(สติ-ความระลึกได้)

แล้วผมจะต้องทำยังไงจึงจะมีสติ

ไม่ต้องทำอะไรเลย

ครูบาอาจารย์บอกว่าไม่เป็นไร ไม่มีเจตนา นั่นน่ะถูกต้องแล้ว
ท่านบอกแก่ผู้กำลังสิกขาผู้กำลังฝึกหัด เพราะท่านทราบดีว่า เดี๋ยวสติสตังมันก็จะดีจะมีขึ้นมาเอง

ศีลนั้นมีระบบอัตโนมัติที่จะสร้างสติให้เราได้เองทีละน้อย

คันครั้งแรกมดยุงศพแรกเดี้ยงไปแล้ว
คันครั้งที่2 อ้าว..เด็ดสะม่อเร่ไปอีกศพ
พอคันครั้งที่3 เริ่มนึกได้ เริ่มมีสติ ยั้งมือที่จะเอื้อมไปลูบที่คันได้ทัน หันไปมองดูก่อนว่าไอ้ที่คันนั้นมันยุงหรือมด พอเห็นว่าเป็นยุงเป็นมดก็ปล่อยมันไปไม่ฆ่า
พอปล่อยมันไปแล้วหรือว่าไม่เห็นว่าคันเพราะมดหรือยุงแต่มันคันของมันเอง
ฮ่าๆ
เอาล่ะวะกูจะเกาให้มันส์สะเด็ดไปเลยทีนี้

ผมยังจำความรู้สึกแรกที่มีสติเว้นชีวิตยุงมดได้ดีไม่ลืม
จิตใจมันเบ่งพองเบิกบานภูมิใจในตนเองอย่างบอกไม่ถูก
เป็นความรู้สึกพิเศษสุดที่อธิบายยาก

หลังจากนั้นยุงมดก็รอดตายขึ้นเรื่อยๆ จนผมมั่นใจว่าไม่มีมดยุงตัวไหนตายเพราะผมขาดสติอีกแล้ว

สติเมื่อเกิดขึ้นก็จะแก่กล้าเรื่อยๆ
จนในที่สุดจะอยู่กับเราตลอดไป

แม้เมื่อเลิกศีลแล้วสติก็ยังอยู่
ไม่หายไปไหน
คือพอคันปุ๊บมีสติทันทีว่ายุงแน่ ฟาดป้าบลงไป กะแม่นๆไม่ให้พลาด

จิตใจเป็นยักษ์เป็นมารแล้วยังมีสติแบบยักษ์มารได้เลยครับ

แต่สติของยักษ์มารมันไม่มีสัมปชัญญะกำกับ คือระลึกได้ก็จริง กลับไม่ยักรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร
ถึงรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ มันก็ไม่กังวลเรื่องบุญเรื่องบาป
มันมีสติมีสัมปชัญญะแบบยักษ์มารนั่นล่ะครับ

เฉพาะเรื่องนี้สามารถคุยได้แบบละเอียดและพิสดาร
เอาไว้ทีหลังแล้วกัน

แต่ที่แน่นอนนักหนา
ศีลทุกข้อสร้างสติได้ครับ
รวมไปถึงสัมปชัญญะด้วย

สติสัมปชัญญะที่เกิดจากศีลจะส่งผลให้การปฏิบัติสมาธิก้าวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

สมเด็จพระญาณสังวรฯสมเด็จพระสังฆราช ทรงกล่าวว่า
“แรกๆเรารักษาศีล ต่อไปภายหน้าศีลจะรักษาเรา”
จำคำพูดนี้ไว้ให้ดีนะครับ
สำหรับผู้รักษาศีลมั่นคงดีแล้วจะเข้าใจคำพูดนี้ได้เอง

Jun 24 2009

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน