เรื่องเล่าหลวงปู่พรหมา เขมจาโร: เขาชื่อหาญ (สุนา แก้ววิจิตร) ตอนที่1

เรือเที่ยวแรกสำหรับการเดินทางครั้งแรกของผมนั้น นายทหารลาวขาวท่านนี้ก็ลงเรือลำเดียวกัน
ผู้โดยสารทั้งลำเป็นชาวบ้านดูแล้วเหมือนๆกันไปหมด มีแปลกตาอยู่คนคือท่านผู้นี้ บุคคลิกลักษณะไม่กลืนกับหมู่คนโดยสาร
นั่นก็คงรวมเอาผมกับเฮียบัติไว้ด้วย
ท่าทางเขาระมัดระวังตัวแม้กระทั่งกับผม ดูไปแล้วเปรียบได้กับงูที่ขดตัวเงียบแต่แฝงด้วยพิษร้าย

เรือแวะจอดส่งคนขึ้นฝั่งอยู่2-3ครั้ง มีครั้งเดียวที่เรือจอดส่งคนพอดีกับที่ฝั่งตรงข้ามมีทหารลาวแดงจ้องเขม็ง
ท่านผู้นี้ลุกขึ้นฝั่งก่อนใคร แล้วยืนหันหลังให้ฝั่งลาวที่พวกทหารลาวแดงกำลังมองดู
พอคนที่ต้องการขึ้นฝั่งจริงๆขึ้นหมดแล้ว
เขาก็กลับลงมาอีกด้วยอาการเหมือนกำลังซ่อนหน้าไม่ให้ใครจำได้

เป็นข้อสังเกตุที่ผมเห็นได้ชัดในขณะนั้น

ในใจมีคำถามเกิดขึ้นว่าคนผู้นี้คือใคร

ต้องสมมุติชื่อกันล่ะครับ เอาเป็นว่า”หาญ”ก็แล้วกัน
ภายหลังจึงทราบว่าคนผู้นี้ชื่อหาญ ยศร้อยเอก เป็นหัวหน้ากองร้อยคอแดง กองร้อยเดียวที่ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาไม่เคยถูกยุบ
กองร้อยอื่นๆตั้งแล้วก็ต้องยุบไปทั้งนั้น เพราะเพียงไม่นานก็เหลือไม่ถึงร้อย กลายเป็นกองสิบ เพราะว่าตายกันเป็นเบือ
เว้นแต่กองร้อยคอแดงไม่เคยตาย เป็นกองร้อยหนังเหนียว มีจีวรหลวงปู่พรหมาพันคอเป็นสัญลักษณ์
พวกเวียตกงกับลาวแดงในสมัยนั้นขยาดเลยเรียกกันว่าพวกคอแดง
ภายหลังกองร้อยนี้ถูกยุบโดยปริยาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เขาบอกกับผมว่า
“พวกข้อยรบไม่แพ้,แพ้การเมือง”

ต่อไปจะเล่าเรื่องของท่านผู้นี้

เขาชื่อหาญ

เขาคือศิษย์ฆราวาสสำคัญประจำตัวหลวงปู่พรหมา วางตัวเสงี่ยม ไม่เคยเขื่อง หาผู้รู้จักศักดิ์และฐานะเขาได้ยาก
เมื่ออยู่บนวัดทำตัวเป็นเด็กวัด คนแปลกหน้ามากราบหลวงปู่ประเมินว่าเขาแค่คนวัดจะเรียกใช้เขาก็ไม่เคยขัด
ดูแล้วเป็นเด็กวัดจริงๆ

อีกคนหนึ่งคือเจ้าเปิ้ล เป็นคนไทย อดีตทหารพราน คือคู่ปาท่องโก๋กับหาญ หัวหกก้นขวิดมาด้วยกัน

โหดทั้งคู่เมื่อถึงบทโหด

แต่กับผมแล้วเขาดูแลดีมาก เอื้อเฟื้อสอดส่องเอาใจใส่ไม่ให้ลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน คอยจัดหาให้เป็นพิเศษ
จะใช้วานให้ทำอะไรได้ทั้งสิ้น
รวมทั้งคอยระวังความปลอดภัยให้ผม
วันไหนว่างหรือเบื่อผมก็ออกเดินป่า คนหนึ่งในพวกเขาแอบติดตามโดยที่ผมไม่เคยรู้ ถึงตอนหลงทางกลับไม่ถูกเขาก็โผล่มาทันที
จึงทราบว่าผมไม่มีอะไรต้องวิตกเมื่ออยู่บนนั้น ที่ซึ่งมีเขา2คนอยู่ด้วย

ต้องเข้าใจนะครับว่ายุคสมัยที่ผมขึ้นวัดนั้น แทบไม่มีใครแปลกปลอมเข้ามาแถวนี้ ยังเป็นบ้านป่าเมืองดง ยังมีเรื่องปล้นฆ่าปรากฏอยู่เสมอ
ศพคนลอยน้ำมีให้เห็นบ่อยๆ เสียงปืนกลางดึกยังได้ยิน
การมีผมไปอยู่บนนั้นเท่ากับไปเพิ่มภาระให้พวกเขา
อย่าว่าแต่ผมเลยแม้กระทั่งวัดยังไม่ปลอดภัย
การปล้นวัดเคยเกิดขึ้นอย่างน้อยครั้งหนึ่ง โจรจากฝั่งโน้น รู้ข่าวว่ามีคนถวายปัจจัยเป็นหมื่นก็ข้ามโขงมา
หาญกับลูกน้องส่วนหนึ่งที่ยังเกาะกลุ่มตามกันมาอยู่ที่นี่ก็จับอาวุธขึ้นมาป้องกัน
อาวุธที่ซ่อนเอาไว้ตามซอกตามผาหรือแม้แต่ฝัง
ถึงเวลาก็เอาออกมาใช้ได้ทันที

โดยเฉพาะเวลามีผ้าป่า เวรยามกลางคืนมีตลอดทั้งภูเขา เหมือนว่าเราอยู่กลางสมรภูมิหรือว่าดงโจร

ตรงนี้เท่ากับเป็นเขตปกครองตนเองมอดินแดงของGeorge
ด้วยว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารฝ่ายไทยอยู่ประจำ
เรียกว่าเป็นสถานที่และเป็นหมู่บ้านหลงสำรวจอีกด้วย
หมู่บ้านปลายทางเรือโดยสาร
ที่เสมือนประตูเปิดให้ก้าวผ่านขึ้นไปบนเขาที่ตั้งวัดนี่แหละครับ

บ้านดงนา
หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏในแผนที่

ประชากรส่วนใหญ่ของบ้านดงนาเป็นชาวลาวอพยพข้ามมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆไม่กี่หลังคาเรือน
กระทั่งหลังสมเด็จพระเทพทรงสนพระทัยเสด็จมาทอดพระเนตร หมู่บ้านนี้จึงได้รับการเหลียวแลจากบ้านเมือง

ก่อนนั้นก็แค่บ้านป่าที่หาคนรู้จักยาก

แรกๆหาญไม่ค่อยจะเข้าใกล้ผม เขาไม่รู้จักเบื้องหน้าเบื้องหลัง ระแวงว่าอาจเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารแฝงตัวมา
เหตุที่ต้องระมัดระวังตัวขนาดนั้นก็ด้วยว่าการเข้ามาอยู่ที่นี่ของเขาและทหารลูกน้อง
อีกร่วม10คนเป็นเรื่องผิดกฏหมาย
เขาไม่ใช่คนไทย ย่อมไม่ได้รับอนุญาติให้อยู่บนแผ่นดินของเรา
การวางตัวของพวกเขาจึงต้องให้อยู่ในสถานะที่ไม่รบกวนคนไทย
ไม่ตอแยกับเจ้าหน้าที่เพื่อที่เขาจะอยู่ตรงนี้ได้
หาญเคยปรับทุกข์กับผมว่า
“ข้อยไม่มีแผ่นดินของข้อยแล้ว ลาวข้อยก็อยู่ไม่ได้ เขาตามล่า ถ้าเจอเขาก็จะฆ่าทิ้ง ส่วนไทยข้อยก็ต้องหลบๆหลีกๆไม่ก่อปัญหา
ไม่ให้เป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่ เพื่อที่ข้อยจะพออาศัยอยู่ตรงนี้จนกว่าจะมีที่อื่นให้ไป”

เรื่องของเรื่องที่หาญมาปรากฏตัวที่นี่ก็เพราะหลังลาวแตกแล้วหมดทางไปที่ไหน
จึงออกติดตามหาหลวงปู่พรหมาจนพบ
แล้วปักหลักอยู่ที่นี่ปรนนิบัติวัฏฐากหลวงปู่ไปในตัว

จะว่าไปการอยู่อาศัยที่นี่ของหลวงปู่หากไม่มีหาญหลวงปู่ย่อมลำบากอาจยากที่จะอยู่ได้
และที่หลวงปู่เลือกอยู่ที่นี่ก็คงมีเหตุผลที่จะเอื้อประโยชน์
ให้แก่หาญที่เป็นลูกศิษย์เก่าแก่ให้มีที่หลบซ่อนตัว

ทำนองน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

คนหนึ่งเป็นเรือ คนหนึ่งเป็นน้ำ
คนหนึ่งเป็นเสือ คนหนึ่งเป็นป่า

ถ้าแยกจากกันแล้วเสือก็คงต้องไปอยู่ในกรงหรือก็ไปกลายเป็นตะกรุดหนังเสือ
ป่าก็คงไปอยู่ในโรงเลื่อย

เอแน่ะ..ช่างเปรียบไปได้แฮะ

ผมประเมินการเอื้อประโยชน์ระหว่างกองทหารลาวขาวกับหลวงปู่
ด้วยเหตุผลที่ว่าก่อนหน้านั้นหลวงปู่อยู่จังหวัดเลย
พออกจากจังหวัดเลยก็มาอยู่ที่นี่
พระผู้เฒ่าจะมาเลือกอยู่อะไรกันกับสถานที่โคตรทุรกันดารอันตรายแบบนี้
วัดไหนๆในเมืองท่านก็อยู่ได้
สารพัดวัดที่อยากให้ท่านอยู่แต่ท่านปฏิเสธหมด

ทีแรกเลยไม่ได้อยู่ตรงนี้ ท่านอยู่ถัดขึ้นมาทางเหนือน้ำ ตรงนั้นเรียกว่าอะไรผมลืมชื่อ
ไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีชุมชน มีแค่ท่านกับกองทหารลาวขาว
แล้วก็โดนฝ่ายลาวแดงถล่มเอาแทบทุกวัน
ส่วนใหญ่ยิงอาร์พีจีข้ามฝั่งมาใส่
แต่แปลกที่ไม่มีอาร์พีจีลูกไหนแตก
หลวงปู่กับลูกศิษย์ทหารช่วยกันเก็บลูกอาร์พีจีมากองไว้จนกลายเป็นกองระเบิดกองใหญ่

เจ้าเปิ้ลเคยบอกผมว่าถ้าหากอยากจะเดินป่าไปดูที่อยู่เก่าหลวงปู่เมื่อไหร่ให้บอก เขาจะพาไป
“ไปแล้วจะมีอะไรให้ดู”
“มีกองลูกระเบิดไง”

คิดไว้ในใจเหมือนกันว่าจะไป แต่แล้วไม่ได้ไปจนบัดนี้

คงต้องบอกว่าสิ่งที่ผมกำลังเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ได้โม้
ช่วงที่ผมคลุกคลีอยู่ที่นั่นไม่มีใครอื่นแม้แต่คนเดียว
ผมใช้เวลาอยู่บนวัดมากกว่าอยู่บ้าน
คืออยู่กับหลวงปู่และพวกเขา3-5วันจึงกลับบ้านหาเสบียงทีหนึ่ง
นอนบ้านแค่คืนหรือสองคืนก็กลับขึ้นไปอยู่อีกอาทิตย์หนึ่ง
เป็นเช่นนี้ตลอดเวลาหลายๆเดือน
ช่วงนั้นการภาวนาก้าวหน้ามาก
ผมได้อะไรดีๆและรู้จักบางเรื่องที่ใครๆอยากจะรู้แต่ไม่มีทางรู้อีกมากมาย
จนเวลาล่วงไปเกือบปี ผมตัดสินใจเปิดตัวหลวงปู่
คนก็แห่เข้ามา
นั่นแหละภาพที่ผมเล่านี้ก็ปราศนาการไปทันที

เกี่ยวกับเรื่องของกองทหารลาวขาวที่ภูผานางคอยนั้น
เคยสนทนากับฝ่ายทหารของไทย
เขาทราบดีว่ามีกองกำลังกู้ชาติหรือลาวขาวอยู่ที่นั่น
แต่เขาทำไม่รู้ไม่ชี้
คือสมัยนั้นนโบายด้านชายแดนที่จะให้มีแนวกันชนมีอยู่ทั่วทุกชายแดนไทย
ทางเหนือก็พวกฮ่อ ทางอีสานก็พวกนี้เอง

หาญกับพวกก็คือกันชนที่เราปล่อยไว้ให้ป้องกันลาวแดงนั่นเอง

ถ้าไม่ใช่เพราะผมเข้าใจเรื่องนี้ผิด, ที่ผมเล่ามาทั้งหมดย่อมเป็นตามนั้น

ธาตุลมชักไม่สมดุลย์กับธาตุน้ำอีกแล้วสิ
ขอไปปรับธาตุใหม่ก่อน..เดี๋ยวมา


ท่าเรือบ้านดงนาระหว่างรอเริอโดยสาร จากท่าเรือขึ้นมาจะพบทางสายเดียวตัดผ่านหมู่บ้าน เดินตรงไปเรื่อยๆก็พบทางเดินเท้าขึ้นวัด


แทบทุกครั้งที่มาจะพกข้าวของหรือขนมแจกเด็กที่แห่กันมาเข้าคิวทั้งหมู่บ้าน
ที่เห็นในภาพคืออาจารย์อนันต์ สวัสดิสวนีย์


แม่นำ้โขงตอนรุ่ง มองจากวัดลงไปทางด้านหมู่บ้านดงนา

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน