ยอดนิยมอันดับ ๑ ศรีสะเกษ_หลวงพ่อมุม
พระครูประสาธน์ขันธ์คุณ “หลวงพ่อมุม อินฺทปญฺโญ”
วัดปราสาทเยอร์เหนือ อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ
นครพนม มี เจ้าคุณปู่จันทร์ อุดรธานี มี หลวงปู่ขาว เชียงใหม่ มี หลวงปู่แหวน สกลนคร มี หลวงปู่ฝั้น สุรินทร์ มี หลวงปู่ดุลย์ โคราช มี หลวงพ่อพุธ ร้อยเอ็ด มี หลวงปู่ศรี อุบลราชธานี มีหลวงพ่อชา หนองคาย มีหลวงปู่เทสก์ ศรีสะเกษมีหลวงพ่อมุม ฯลฯ
หัวใจแห่งศรัทธาจังหวัดละดวง หรือมากกว่านั้น
นี่ยังไม่นับไปถึงภาคใต้ ตะวันออก ตะวันตกและกลาง ที่มีดวงใจโต ๆ คับอกชาวพุทธแต่ละจังหวัดชั่วนิรันดร์
ความเคารพเลื่อมใสในหลวงพ่อมุม ของชาวศรีสะเกษนั้นเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว นี่ไม่ได้กล่าวเกินเลย แต่มันเป็นความจริงที่ใคร ๆ สามารถพิสูจน์ได้
คุณเกียรติ สำราญ ผู้จัดการสีรุ้งคาร์แคร์ เยื้องวัดเจียงอี ในเมืองศรีสะเกษ เป็นผู้หนึ่งที่ศรัทธาในหลวงพ่อมุมตั้งแต่ยังเด็กจนล่วงเข้ากลางคน เขาแขวนเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อมุมตั้งแต่อายุราว 12 ขวบ จนทุกวันนี้ 38 หรือ 39 เข้าให้แล้ว
20 กว่าปีที่หลวงพ่อมุมไม่เคยห่างคอ
ไม่เคยมีของคณาจารย์อื่นใดนอกจากหลวงพ่อมุมอีกต่างหาก
คุณเกียรติเล่าว่า เดิมไม่รู้จักหลวงพ่อมุม วันหนึ่งมีรายการชกมวยใกล้บ้าน ไปป้วนเปี้ยนหาช่องจะดูมวย พบเพื่อนเด็กคนหนึ่งอยากดูมวยแต่ไม่มีเงิน จึงร้องขายเหรียญหลวงพ่อมุมที่แขวนอยู่ในคอ คุณเกียรตินึกอยากได้โดยไม่ทราบว่าทำไม และได้กลับไปบ้านขโมยเงินแม่มาซื้อเหรียญหลวงพ่อมุมจากเพื่อนในราคา 20 บาท พอกลับบ้านถูกแม่จับได้และตี ฐานทำตัวไม่สุจริต
เหรีญหลวงพ่อมุมที่ซื้อจากเพื่อนนั้นคือ เหรียญรุ่นแรก สร้างราวๆ ปี 2507-2508 เหรียญนั้นได้ช่วยชีวิตและร่างกายของคุณเกียรติหลายครั้ง เฉพาะที่ประทับใจคือคราวเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ชนกองหิน
ภาพ – taradmongkol.com
เรื่องมีอยู่ว่า คุณเกียรติและเพื่อนอีก 2 คน ซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันคือซ้อนสาม คุณเกียรตินั่งท้ายสุด มอเตอร์ไซค์เสียหลักพุ่งเข้าชนกองหินที่พวกก่อสร้างตึกได้กองไว้ข้างทาง คุณเกียรติตัวลอยขึ้นสูงอย่างน่ากลัวแล้วหล่นพลั่กสู่พื้นแน่นิ่งไป ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าคุณเกียรติไม่รอด เพราะสถานการณ์ที่เห็นนั้นน่ากลัวกว่าเพื่อนอีกสองคนซึ่งล้มไปธรรมดา แต่ปรากฏว่าคุณเกียรติกลับลุกขึ้นได้ ส่วนเพื่อนอีกสองคนสลบเหมือด
จริงๆแล้วการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งของแต่ละคน ถ้าหากมีการรอดพ้นอันตรายมาได้ ก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นไปโดยปาฏิหาริย์ หรือความศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว อุบัติเหตุหลายครั้งแม้ไม่มีของศักดิ์สิทธิ์ติดตัว ก็เคยมีผู้รอดปลอดภัยอย่างเหลือเชื่อมาแล้ว ผู้เชื่อในวิทยาศาสตร์จึงไม่ยอมรับ และผู้เชื่อในไสยศาสตร์หรือศาสตร์แห่งอภินิหารก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มปาก เนื่องจากว่าวิทยาศาสตร์จะเถียงเอา
แต่สิ่งที่วิทยาศาสตร์งุนงงถกเถียงไม่ได้ก็มีอยู่
คุณเกียรติเล่าว่า วัตถุมงคลของหลวงพ่อมุมนั้นมีข้อห้ามอยู่ 2 ประการคือ 1. ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วย 2. ห้ามกอบน้ำจากห้วยหนองบึง หรือปลักควายมาดื่มกินด้วยฝ่ามือทั้งสอง ถ้าฝ่าฝืนข้อห้ามแล้วจะเกิดอะไรขึ้นคุณเกียรติไม่รู้เหมือนกัน
วันหนึ่งไปเที่ยวสระบุรีได้ลงเล่นน้ำในหนองแห่งหนึ่ง เล่นเพลินจนลืมข้อห้ามนี้ ได้กอบน้ำในหนองที่ตนเองลงว่ายเล่นใส่ปาก เมื่อขึ้นบนฝั่งปรากฏว่าพระเครื่องของหลวงพ่อมุมหลายองค์หลุดหายหมด เหลือแต่สร้อยคอเปล่าๆ พระหลุดไปทุกองค์ได้อย่างไรไม่รู้
เหรียญรุ่นแรกที่ได้จากเพื่อนเด็กหน้าสนามมวยก็หายไปด้วยในคราวนี้ เดือดร้อนต้องหาใหม่มาแทนของที่หายไป
เกียรติคุณของหลวงพ่อมุม ของชาวศรีสะเกษ ไม่ได้อยู่ที่ความขลังในวัตถุมงคลอย่างเดียว ทุกคนที่ศรัทธาในองค์ท่านล้วนเชื่อว่าท่านคืออริยสงฆ์องค์หนึ่ง วัตรปฏิบัติของท่าน ไม่ได้ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนของขลังของท่าน ที่โลดทะยานไปบนถนนของมีดและปืน ซึ่งคนทั่วไปให้ความเชื่อมั่นว่าถ้าหากจะต้องเสี่ยงภัยจากอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว มีหลวงพ่อมุมติดตัวเป็นอุ่นใจได้ องค์ท่านเป็นพระที่อยู่อย่างเรียบง่าย มีเมตตาต่อคนทั้งหลายเสมอกัน ไม่โอ้อวดแสดงฤทธิ์ เยือกเย็น ใจดี และหมดโกรธ
เซียนน้อย สำราญ นักสะสมพระเครื่องชื่อเด่นในศรีสะเกษ ได้เล่าว่า เพื่อนของเขาคนหนึ่งเดินทางไปหาหลวงพ่อมุม สมัยที่ถนนเปื้อนโคลน ไปด้วยรถจักรยาน เขาไปกับเพื่อนอีกคนซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานหลวงพ่อมุม ไปเพื่อจะขอท่านทำตะกรุดให้ ถนนที่มุ่งไปสู่วัดแฉะลื่นจนไม่สามารถจะขี่จักรยานได้ถึงขั้นต้องช่วยกันแบกจักรยานเ
ดินไป
ถึงวัดแล้วก็พบว่าหลวงพ่อมุมนั่งรออยู่กับโยมคนหนึ่ง ท่านทำตะกรุดให้เดี๋ยวนั้น ทำเสร็จแล้วส่งมอบให้และบอกว่าให้เอาไปลองดู
เท่ากับเป็นการแสดงความเชื่อมั่นในตะกรุดของท่านเอง
โยมที่นั่งอยู่กับหลวงพ่อมุมได้บอกว่า จริงๆแล้วหลวงพ่อมีนิมนต์จะไปงานบุญอะไรสักอย่าง แต่ท่านบอกให้รอก่อน มีแขกมาหาสองคน สงสารเขา อุตส่าห์มาลำบาก ก็ปรากฏว่าคนทั้งสองแบกจักรยานมาอย่างลำบากจริง ๆ
นี่ก็ถือเป็นญาณหยั่งรู้ของพระอริยเจ้าได้เช่นกัน
พูดถึงการลองของหรือลองวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ต่างๆ เท่าที่ทราบมักไม่ค่อยมีใครยินดีให้ลอง ท่านว่าเป็นการประมาทในครูบาอาจารย์ เว้นตู้ไม่ศรัทธา มีความรู้สึกหมิ่นแคลน ไม่เชื่อถืออยู่ในใจ ท่านอาจทราบโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ท่านก็มักจะอนุญาตให้ลองได้ บางทีเพื่อนเซียนน้อยอาจรู้สึกอย่างนั้นในใจก็ได้
มีเรื่องหนึ่งซึ่งทุกคนทราบดีว่า ถ้าใครไปเจิมรถกับท่านแล้ว รถมักจะต้องมีอุบัติเหตุเสียก่อน คือพอท่านเจิมเสร็จเป็นอันว่าไม่ช้านานรถจะต้องชน หรือพลิกคว่ำสักครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นรถจะปลอดภัยจากอุบัติเหตุ มีรถใหม่ๆหลายคันต้องพลิกคว่ำเสียเงินซ่อมไปมากมาย แม้ว่าคนรถจะปลอดภัยก็ตาม
รู้จึกมักแนะนำกันว่า ถ้าหากหลวงพ่อมุมเจิมรถให้แล้ว เวลาออกจากวัดให้หาต้นกล้วยสักคันหนึ่งแล้วขับรถที่เพิ่งเจิมเข้าชนเป็นการแก้เคล็ด นับว่าเป็นวิธีการที่แยบคายดี
หลวงพ่อมุมเป็นพระที่มีอภินิหารมาก ลูกศิษย์ของท่านมักกลายเป็นผู้ประกาศเกียรติคุณของท่านโดยไม่รู้ตัว คือไปเกิดเรื่อง ไปประสบภัยแล้วปลอดภัย ทำให้ชื่อเสียงของท่านขจรไกลยิ่งขึ้น
อาจารย์เบิ้ม หรืออาจารย์สุวัฒน์ พบร่มเย็น ได้เล่าถึงสมัยที่ตัวท่านเองเป็นทหารอาสา รบที่ประเทศลาว สมัยลาวยังไม่แตก ท่านเล่าว่ามีเพื่อนทหารร่วมกองร้อยคนหนึ่ง สังเกตดูแล้วเห็นว่ามีลักษณะพิเศษกว่าคนอื่นๆ ผิวกายของเขาดำเป็นเงา ทำให้เชื่อว่าเขาต้องมีอะไรดีอยู่ในตัว ครั้นคุ้นเคยกันแล้วจึงทราบว่าเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมุม พกเหรียญเล็ก ๆ ในคอ 1 เหรียญ คาดตะกรุดโทนที่เอว 1 ดอก และก่อนมาออกสนามรบที่นี่ หลวงพ่อมุมได้อาบน้ำว่านให้ 7 วันครั้งหนึ่งเกิดการปะทะกัน เขาลุกขึ้นจากเบิมยิงใส่พวกญวนที่กำลังตีโอบเข้ามา อาจารย์เบิ้มเห็นกับตาว่า มีลูกอาร์พีจีพุ่งเข้าชนกลางลำตัวของเขาถึงกับล้มลง ในใจคิดว่าไม่รอด เพราะว่าเสียงระเบิดของลูกอาร์พีจีนั้นบอกให้รู้ว่าอย่างน้อย ๆ เขาต้องขาดเป็นสองท่อน อย่างมากๆก็หาซากไม่เจอแต่ครู่เดียวเขากลับลุกขึ้นมาได้และยิงใส่พวกญวนจนกระทั่งศึกสงบ เมื่อสิ้นเสียงปืนแล้ว เขาถูกหามเข้าโรงพยาบาล เพราะว่ามีเลือดออกทางหูและจมูก แต่ตลอดตัวเขาไม่มีริ้วรอยบาดเจ็บอะไรเลย พอออกจากโรงพยาบาลแล้วก็กลับเข้ามารบอีก
อาจารย์เบิ้มเล่าว่า ทหารรับจ้างทุกคนมักมีของดีและมักมีอาจารย์ของตนทั้งนั้น และได้เห็นความขลังของแต่ละคนว่ามีอยู่ระดับไหน บางคนไม่เป็นอะไรเลย บางคนรอดตายแต่พิการ ส่วนอาจารย์เบิ้มเองมีลูกสะกดปรอทของอาจารย์รอด ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า คาดเอว 4 ลูก และมีของดีของหลวงปู่โต๊ะเต็มตัว ท่านก็ปลอดภัยแคล้วคาดเป็นอันดีตลอดมา
อาจารย์เบิ้มได้บอกว่า เห็นลูกศิษย์หลวงพ่อมุมคนนั้นแล้วทำให้เชื่อถือในหลวงพ่อมุมเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงสามารถจำชื่อหลวงพ่อมุมได้แม่นจนทุกวันนี้
เซียนน้อยได้บอกว่า คุณชลอ อินทรนัฏ อยู่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด ได้เล่าเรื่องต่อไปนี้ให้ฟัง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมาก
มีนายตำรวจยศพันตำรวจโทท่านหนึ่ง (ขอสวนนาม) สมัยที่ยังประจำการอยู่ที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ได้จับตัวคนอันตรายคนหนึ่งซึ่งจะกล่าวให้ชัดเจนในที่นี้ไม่ได้ เอาเป็นว่าคนๆนี้จะต้องตายเท่านั้นจึงสมควร
พ.ต.ท.ท่านนั้นได้ชักปืนออกยิงใส่ศีรษะของชายคนนั้นถึง 3 นัด แต่กระสุนด้านหมด จึงฉุกใจคิดได้ว่า คนๆนี้ต้องมีอะไรดี และได้รุกเร้าถามว่ามีอะไรดีในตัว เพราะว่าค้นตลอดตัวแล้วไม่พบว่ามีพระเครื่องหรือวัตถุมงคลสักชิ้นเดียว คน ๆ นั้นไม่ยอมบอก คงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“ถ้ารับว่ามีของดีในตัวและเอาออกมาให้ดูจะปล่อยไป” นายพันตำรวจโทบอกและย้ำอีกว่า “รับรองไม่ฆ่า ให้เอาออกมาให้ดูเท่านั้น”
คนๆนั้นจึงคายพระเครื่ององค์เล็กๆออกมาจากในปาก
เป็นเหรียญหลวงพ่อมุม ไม่ทราบรุ่นไหน (เขาว่าเป็นรุ่น 1)
นายพันตำรวจโทรับเหรียญมาดูแล้วเกิดใจอ่อนยวบ ทั้งๆที่ในตอนแรกปากว่าจะปล่อยแต่ใจไม่คิดปล่อย ก็คิดปล่อยตัวคนๆนั้นจริง ๆ
คนๆนั้นเมื่อถูกปล่อยตัวแล้ว ได้หลบหนีออกไปจากพื้นที่จังหวัดนครพนมไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ และกลับเนื้อกลับตัวทำมาหากินเป็นชาวไร่มะขามหวาน กระทั่งปัจจุบันนี้มีฐานะมั่นคงดี และทุกๆปีจะส่งมะขามหวานมาเป็นของฝากแก่นายพันตำรวจโทท่านนั้นโดยสม่ำเสมอ นัยว่าสำนึกในบุญคุณที่ปล่อยตัวเขา
นายพันตำรวจโทท่านนั้นทุกวันนี้สะสมแต่หลวงพ่อมุมจนลืมบ้าน มีศรัทธาในหลวงพ่อมุมเกินกว่าครูบาอาจารย์อื่นๆ เพราะว่าได้ประสบกับตนเอง
อีกรายหนึ่ง ถ้าหากไปสอบถามชาวเมืองศรีสะเกษที่ศรัทธาหลวงพ่อมุม จะทราบตัวเจ้าของเรื่องทันที แต่เมื่อจะบันทึกลงหนังสือพิมพ์อย่างนี้ คงต้องงดออกชื่อและฐานะของเขา
เรื่องมีอยู่ว่าเขาจะต้องเก็บนักเลงหัวไม้หรืออันธพาลคนหนี่ง ก็สุดจะเรียกไป คนที่ต้องถูกเก็บนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนมีไฟส่องสว่างพอเห็นตัวเขาได้ชัด
เรียกว่าเป็นเป้าบินได้สบาย ๆ
ผู้ลงมือเก็บได้ขับรถเข้ามาจอดตรงหน้าร้าน และเปิดกระจกรถลง แย่งปืนคาร์บินออกมาเล็งใส่ในระยะหวังผลที่หมดโอกาสพลาด
ปรากฏว่าเขาเหนี่ยวไกไปแล้วสองสามนัด กระสุนไม่ถูกเป้า คนถูกเก็บก็ไม่รู้ตัวว่าถูกยิง ต่างได้ยินเสียงระเบิดของปืน และคงคิดว่าเป็นเสียงปะทัด ทุกอย่างจึงเป็นปกติไม่มีอะไรแตกตื่นกัน
ผู้ยิงได้ส่งลูกน้องลงไปสอบถามกับเจ้าตัวว่ามีอะไรดี เขาไม่บอก แต่ก็สามารถเห็นได้ว่ามีเหรียญหลวงพ่อมุมแขวนอยู่ใต้คอ คนที่จะถูกเก็บพอถูกถามก็เริ่มรู้ตัว รีบลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ประสบการณ์ทางป้องกันตัว หรือช่วยเหลือผู้คนอย่างนี้มีมากมายเหลือจะบันทึกได้หมด คนศรีสะเกษเล่าสู่กันปากต่อปาก จนบางเรื่องเลือนรางไป ไม่อาจทราบชัดว่าเรื่องเหล่านั้นเกิดกับใคร คนไหน อย่างแท้จริง ถ้าเก็บมาเล่าต่อก็ซ้ำๆกัน และยากจะแยกแยะออก เป็นเฉพาะเหตุการณ์ของใครต่อใครได้ แต่เมื่อรวมความแล้ว ล้วนแต่เกิดขึ้นด้วยอภินิหารหรืออะไรก็สุดแต่จะเรียกของหลวงพ่อมุม
และเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่งที่ครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อมุมที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้จักและศรัทธาเต็มหัวใจกลับหาตัวผู้ทราบประวัติองท่านได้อย่างลึกซึ้งไม่มี ท่านจึงเป็นครูบาอาจารย์ที่มีความเป็นมาของท่านมัวซัวเหมือนมีหมอกขึงม่านกั้นไว้ ไม่อาจมองเห็นหรือทราบชัด
หลายคนไม่เชื่อว่าท่านเป็นชาวบ้านปราสาทเยอร์ แต่ในประวัติที่มีผู้ได้บันทึกไว้บอกว่าท่านเกิดที่บ้านปราสาทเยอร์ ข้อขัดแย้งนี้มีน้ำหนักมากพอๆกัน
เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เชื่อว่าท่านเป็นชาวบ้านปราสาทเยอร์ คือท่านเป็นคนผิวขาวเกินไป ผิดวิสัยของชาวปราสาทเยอร์ที่ผิวคล้ำดำ เพราะว่าโดยมากถือเชื้อสายค่อนไปทางเขมร แต่หลวงพ่อมุมต่างเขาอื่นอยู่คนเดียว ถ้าหากว่าท่านเกิดที่บ้านปราสาทเยอร์จริง บิดามารดาของท่านก็คงจรมาจากที่อื่นเป็นคนต่างถิ่น ไม่ใช่คนบ้านปราสาทเยอร์ เหตุผลนี้น่าฟังอยู่เหมือนกัน
ในประวัติที่ทางวัดบันทึกไว้อย่างสั้นที่สุดน้อยที่สุดก็ไม่บอกว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน บิดา มารดาเป็นใคร
เหลือเชื่อที่ไม่มีใครบันทึกไว้เลย
ถามไถ่ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันที่เคยอยู่ร่วมกัน หลวงพ่อมุมสมัยที่องค์ท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังไม่อาจบอกได้
ประวัติหลวงพ่อมุมที่ทางวัดบันทึกไว้ คงเริ่มบันทึกแต่สมัยที่ท่านมาอยู่วัดบ้านปราสาทเยอร์เป็นต้นมา ก่อนหน้านั้นไม่มีการบันทึก ไม่มีประวัติหรือรายละเอียดใด ๆ ของหลวงพ่อมุมแม้แต่น้อย
คงกล่าวแต่เพียงว่าท่านมาอยุ่ที่วัดปราสาทเยอร์แล้ว ได้ดำรงตำแหน่งเป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนบ้านประอาง เมื่อ พ.ศ. 2459-2474 เป็นเวลา 15 ปี นี่คือส่วนที่ลึกที่สุดของประวัติท่าน ต่อจากนั้นก็เริ่มบันทึกเรื่องราวของท่านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เรื่อยมาจนมรณภาพ
การจะเขียนถึงประวัติของท่าน จึงเป็นเหมือนคนตาบอดตาฟาง คลำหาเป้า ซึ่งข้อผิดพลาดย่อมมีได้ แต่จะลองคลำดู ผิดหรือถูกก็ทิ้งไว้เป็นภาระของผู้รู้ตามแก้ไขภายหลังก็แล้วกัน
ชาติกำเนิดของหลวงพ่อมุม อินฺทปัญโญ ดูจะสับสนอยู่ไม่น้อย ไม่มีใครยืนยันชัดเจนว่าท่านเป็นชาวบ้านปราสาทเยอร์จริงหรือไม่ ผู้เชื่อว่าท่านเป็นชาวบ้านปราสาทเยอร์ก็มี ไม่เชื่อก็มี พื้นเพดั้งเดิมของท่านจึงคลุมเครือ ไม่อาจลงเป็นหลักได้
กระทั่งวันเดือนปีเกิดก็หาผู้บันทึกไว้อย่างแน่ชัดไม่ได้ แต่ก็มีผุ้ระบุว่าท่านเกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2430 โดยเกิดที่บ้านปราสาทเยอร์นี่เอง เป็นบุตรของนายมากและนางอิ่ม นามสกุล บุญโญ มีพี่น้องร่วมอุทร 5 คน ท่านเป็นคนสุดท้อง
วันเดือนปีที่ปรากฏนี้ก็ไม่มีผู้สนับสนุนว่าถูกต้อง แต่ในรูปเหมือนหล่อด้วยโลหะเท่าองค์จริงที่ประดิษฐานอยู่ประจำวัดปราสาทเยอร์ ทุกวันนี้มีจารึกว่าถูกสร้างขึ้นอยู่ด้วยคือ “อายุครบ 90 ปี 4 มี.ค. 2520” บางทีวันที่ 4 มีนาคม จะเป็นวันเกิดของท่านก็ไม่รู้
ชีวิตวัยเด็กของท่านนั้นหนังสืออนุสรณ์งานศพบันทึกว่า ท่านได้รับการศึกษาอักษรไทยจากเจ้าอธิการปริม จนอ่านออกเขียนได้ และได้ศึกษามูลกัจจายนะสูตรจนสอบได้นักธรรมตรี ในสนามหลวงและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูใหญ่สอนหนังสือไทย ในโรงเรียนวัดบ้านปราสาทเยอร์เหนือคนแรก ระหว่าง พ.ศ. 2459-2474 รวมเวลาที่เป็นครูใหญ่ 15 ปี ขณะที่เป็นครูใหญ่นั้นคำนวณอายุจาก พ.ศ. ที่ได้รับแต่งตั้งถอยหลังไปถึงปีเกิดคือ พ.ศ.2430 ท่านมีอายุ 29 ปี
อีกแห่งหนึ่งบอกว่าท่านเริ่มบวชเป็นสามเณรขณะอายุ 12 ปี ที่วัดปราสาทเยอร์ใต้ กับหลวงพ่อบุญมานี้ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าท่านเป็นอาจารย์ยองหลวงพ่อมุมจริง เหรียญของท่านก็มีผู้นิยมสะสมไว้เหมือนกัน และที่มีวัดปราสาทเยอร์ใต้นั้น ก็เพราะว่ามีวัดปราสาทเยอร์เหนือด้วย วัดทั้งเหนือและใต้อยู่คนละฟากกัน ถ้าพูดลอยๆว่าวัดปราสาทเยอร์ ขอให้เข้าใจว่าหมายถึงวัดปราสาทเยอร์เหนือ ที่หลวงพ่อมุมเป็นเจ้าอาวาสจนมรณภาพ
หลังจากบวชเณรแล้วท่านได้ออกธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ในการธุดงค์นี้ประวัติทุกแห่งบันทึกไว้ใกล้เคียงกันว่าท่านไปแสวงหาโมกขธรรม หาครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของผู้ถือบวชสมัยนั้น ท่านธุดงค์ไปไกลถึงประเทศเขมร พม่า และลาว รวมทั้งมาเลซีย
ที่ประเทศลาว ท่านได้พบกับสำเร็จลุน แห่งจำปาศักดิ์ ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิทยาคมจนแตกฉาน หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและได้พำนักอยู่วัดปราสาทเยอร์ได้ก่อน แต่ขณะนั้นวัดปราสาทเยอร์เหนือไม่มีเจ้าอาวาส ร้างผู้ครองวัดนาน 5 ปี ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันนิมนต์ท่านมาอยู่ครองวัดปราสาทเยอร์เหนือ ท่านก็รับและได้ครองวัดปราสาทเยอร์เหนือเรื่อยมาจนมรณภาพ
เริ่มครองวัดปราสาทเยอร์เหนือเมื่อปี 2464 หลังจากที่ได้เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดปราสาทเยอร์มาก่อน 5 ปี ระหว่าง 5 ปี ที่ทำหน้าที่สอนหนังสือเด็กนักเรียนนั้น ชาวบ้านคงได้สังเกตเห็นจริยาวัตรและปฏิปทาของท่านจนแน่ใจและมั่นศรัทธาแล้วถึงได้นิมนต์ท่านมาครองวัดปราสาทเยอร์เหนือ เพราะว่าวัดนี้ได้ร้างเจ้าอาวาสตั้งแต่ปีแรกที่ท่านกลับ้านเกิด คือปี 2459 แต่ชาวบ้านก็ปล่อยวัดร้างเรื่อยมา จนในที่สุดได้ตัดสินใจอาราธนาท่านดังกล่าว
หลวงพ่อมุมได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรในวันที่ 5 ธันวาคม 2499 คือเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นตรีในราชทินนาม พระครูประสาธน์ขันธคุณ และได้รับเลื่อนชั้นเป็นพระสังฆาธิการ พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในนามเดิมเมื่อปี 2510
เกียรติประวัติของหลวงพ่อมุม ที่ควรกล่าวถึงคือ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2514 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินต้น เป็นการส่วนพระองค์ ณ วัดปราสาทเยอร์เหนือ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ ที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานกฐินต้นในจังหวัดศรีสะเกษเป็นครั้งแรก และวัดปราสาทเยอร์ก็เป็นวัดแรกด้วย
เกียรติคุณของหลวงพ่อมุมนั้นมีมากมาย ทั้งในด้านการปกครองและพัฒนาพระศาสนา ซึ่งคงไม่ต้องกล่าวถึงในที่นี้ และเกียรติคุณด้านอาคมขลัง ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั้งจังหวัดศรีสะเกษและคนถิ่นอื่นทั่วไป
ประสบการณ์ด้านวัตถุมงคลของหลวงพ่อมุมไม่อาจกล่าวถึงได้ไหว เพราะว่ามีมากมายหลายเรื่อง เล่าสู่กันฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้เบื่อ ทุกวันนี้ท่านเป็นยอดนิยมอันดับหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษ ที่ยังไม่ถูกครูบาอาจารย์อื่นใดมาช่วงชิงตำแหน่งได้
อภินิหารของท่านมีอยู่หลายเรื่อง คนศรีสะเกษซาบซึ้งตรึงใจมากที่สุด แม้กระทั่งวันที่ท่านมรณภาพก็ได้เกิดปรากฏการณ์พิเศษที่ควรบันทึกไว้
คุณเกียรติ สำราญ ได้เล่าว่า เมื่อปี 2522 เขาได้บวชเป็นพระอยู่ที่วัดเจียงอี วันหนึ่งทราบข่าวว่าหลวงพ่อมุมอาพาธ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ จึงไปกราบนมัสการเยี่ยมท่าน ขณะที่ไปถึงนั้นได้เห็นสภาพของหลวงพ่อมุมแล้วสลดใจมาก ท่านนอนนิ่งเงียบ หลับตาหายใจระรวย มีสายยางโยงทั่วไป ผอมหนังหุ้มกระดูก คุณเกียรติเข้าไปกราบท่านแล้วกระซิบที่ข้างหูว่า ตนเองมากราบเยี่ยมโดยไม่คิดว่าท่านจะทราบหรือไม่
ปรากฏว่าท่านกระดิกฝ่ามือทำนองโบกมือกวักขึ้นลง แสดงอาการตอบรับว่าทราบแล้วนอนนิ่งเงียบอยู่อย่างเดิม
คุณเกียรติบอกว่าได้ถอยออกมาจากเตียงที่ท่านนอน แล้วลงนั่งพิจารณาท่านอยู่เป็นเวลานาน รู้สึกสลดสังเวชและสงสารท่านเป็นกำลัง นั่งพิจารณาไปจนกระทั่งเกิดง่วง จึงลุกขึ้นไปกราบลาท่าน และกระซิบที่ข้างหูเหมือนดิม ว่ากระผมจะกราบลาแล้ว ท่านก็กวักมือโบกขึ้นลงรับทราบแล้วนิ่งเงียบไม่ลืมตาเหมือนเดิม
คุณเกียรติบอกว่า แม้ท่านจะมีทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่จิตของท่านแน่วแน่มั่นคง ไม่ได้มีอาการหวั่นไหวในอาพาธ ท่านรับรู้ทุกอย่างไม่ว่าใครจะทำอะไร พูดอะไร เป็นแต่ท่านควบคุมบังคับกายสังขารของท่านไม่ได้ เพราะว่ามันอ่อนแอแล้ว
วันรุ่งขึ้นตอนเช้ามืด คุณเกียรติเตรียมตัวจะออกบิณฑบาต ขณะนั้นเกิดเหตุไม่คาดฝัน คือมีพายุพัดกระหน่ำใส่วัด จนกระทั่งมะพร้าวหล่นตูมตาม พัดรุนแรงจนหน้าต่างกุฏิเปิดเปิง และพายุนั้นก็ทราบภายหลังว่าพัดแต่ในวัดเจียงอีเท่านั้น
พอพายุสงบก็มีโทรศัพท์มาถึงวัดแจ้งข่าวว่าหลวงพ่อมุมมรณภาพแล้ว
มีรายละเอียดทางแพทย์บันทึกไว้ว่าท่านสิ้นลมเมื่อเวลา 05.20 น. ของเช้าวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2522 ณ โรงพยาบาลศรีสะเกษ ศพของท่านตั้งบำเพ็ญกุศล 100 วัน จึงพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 28-29 มีนาคม 2524 คือเสร็จจาก 100 วันแล้วได้เก็บศพของท่านต่อมาอีกนับปี
เกี่ยวกับปรากกฏการณ์พิเศษในเช้ามืดของวันที่ท่านมรณภาพ ที่คุณเกียรติได้ประสบในรูปของพายุนั้น ใช่แต่คุณเกียรติคนเดียวจะได้พบ แต่ลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่อมุมในท้องที่ต่าง ๆ กันก็ประสบเหมือนกัน แต่ละแห่งที่เกิดพายุในเวลาเดียวกันคือตอนเช้ามืดนั้น อยู่ไกลกันข้ามจังหวัดก็มี
“วันที่ 9 กันยายน 2522 เวลาประมาณ 06.00 น. หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ตื่นนอนเล็กน้อยที่บ้านพักอุบลฯ ได้มีลมฝนโหมกระหน่ำพัดบ้านข้าพเจ้าอย่างรุนแรง ซึ่งบรรยากาศไม่น่าจะมีลมฝนมาก่อน เดชะบุญ หน้าบ้านและหลังบ้านข้าพเจ้า มีต้นมะม่วงบังเอาไว้ มิฉะนั้นบ้านคงหักพังลงอย่างแน่นอน ลมฝนกระหน่ำอยู่ประมาณ 20 นาทีก็หายไป เสมือนหนึ่งไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย สิ่งที่น่าแปลกใจมากที่สุดคือบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ไม่มีลมพัดเลย ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจอยากจะรีบกลับอำเภออยู่ตลอดเวลา ตอนเย็นข้าพเจ้าได้เดินทางกลับ และได้แวะที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ จึงได้ทราบว่าหลวงพ่อได้มรณภาพเสียแล้ว ปรากฏกากรณ์เช่นนี้มีอยู่หลายแห่ง แต่มิได้เกิดขึ้นทั่ว ๆไป นี้แสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีบุญบารมีสูง ย่อมแสดงปาฏิหาริย์ให้ศิษยานุศิษย์และผู้เคารพนับถือรู้ว่าในขณะนี้ได้มีการเปลี่ยนแ
ปลงเกิดขึ้นแล้ว”
อีกท่านหนึ่งได้บันทึกคำอาลัยไว้เหมือนกัน ท่านผู้นี้คือ นายอภิวัฒน์ วงศ์สวัสดิ์ ครูใหญ่โรงเรียนบ้านปราสาทเยอร์
“วันที่ 8 กันยายน 2522 ก่อนวันมรณภาพของท่าน ข้าพเจ้าได้ไปกราบคารวะ และเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงปู่ที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ ท่านอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถได้ยินฟังอะไรแล้ว เหลือเพียงลมหายใจถี่บ้างห่างบ้าง อาการอาพาธของหลวงปู่คงไม่มีโอกาสอยู่กับพวกเราแน่นอน
จากนั้นข้าพเจ้าได้เลยไปทำธุรกิจต่อในวันเดียวกันที่จังหวัดสุรินทร์ และพักค้างคืนที่จังหวัดสุรินทร์ในวันนั้นตอนเช้าอากาศแจ่มใส แต่ได้เกิดพายุพัดมาอย่างรุนแรงเหมือนปาฏิหาริย์ ทำให้ประตูหน้าต่างที่เปิดไว้ปิดมาเองเพราะแรงลม สักครู่ก็หายไป ข้าพเจ้าระลึกได้ว่าหลวงปู่คงมรณภาพแน่ รีบเดินทางกลับศรีสะเกษ และทุกอย่างก็เป็นความจริง”
เท่าที่ทราบ พายุตอนเช้ามืดได้เกิดขึ้นแก่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อหลายคน หลายสถานที่ต่าง ๆกัน นับว่าเป็นเรื่องประหลาดอย่างยิ่ง
เป็นการอธิษฐานฤทธิ์ครั้งสุดท้าย ที่ท่านฝากไว้กับมวลศิษย์ เป็นการสั่งลา ก็อาจกล่าวได้
หรือจะเป็นโดยเหตุบังเอิญ ที่บังเอิญพร้อม ๆ กันหลายคนหลายแห่ง
แหวนรุ่นแรกของท่านก็ขึ้นชื่อไม่น้อย แต่ความนิยมไปอยู่ที่แหวน ภปร. ซึ่งสร้างรุ่นหลัง นั่นเห็นจะเป็นเพราะว่าแหวนรุ่นหลังนี้สร้างด้วยเนื้อที่ดีกว่า มีทั้งเนื้อเงิน และทองคำ ส่วนรุ่นแรกได้ยินว่ามีแต่เพียงเนื้ออัลปาก้าและทองแดงเท่านั้น
ชื่อว่าหลวงพ่อมุมแล้วนอนใจได้…
——————————————————————–
ข้อมูลจากนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ฉบับที่ 248-249 ปีพ.ศ.2536
——————————————————————–
เหรียญ PAPAMUM สร้างโดยทหารอเมริกันในสมัยนั้น
แสดงถึงความเลื่อมใสของคนในศาสนาอื่นที่มีต่อคุณวิเศษของหลวงพ่อมุม