หลวงพ่อชาและหลวงพ่อเคน

ราว ๆ 2 เดือนเศษมาแล้ว เกิดเหตุไฟไหม้บ้านพี่สาวของผม เธอเป็นลูกสาวของลุง ซึ่งก็คือลูกพี่ลูกน้องกัน

สมหมาย ตราชู คือชื่อของเธอ

เรื่องตกอกตกใจเพราะข่าวไฟไหม้ก็ต้องมีเป็นธรรมดา แต่เมื่อทราบว่าไฟไหม้แค่ชั้นบนของบ้านก็เบาใจไปได้หลายส่วน บ้านไม้ไหม้แค่นั้นก็ดีถมไป ธรรมดาต้องไม่เหลือ จึงจะเรียกว่าเหมาะแก่บ้านไม้เก่า ๆ หลังหนึ่ง

ตอนที่ไฟไหม้ ผมไม่ได้อยู่อุบลฯ แต่กำลังอลหม่านอยู่ในกรุงเทพฯ จึงหมดโอกาสมาเยี่ยมเยียนดูเคราะห์กรรมของพี่สาว และไม่เห็นว่าจะต้องรีบมาเป็นการด่วนอะไร เพราะบ้านก็ไหม้ไปแค่ครึ่งเดียว ยังพอมีที่คุ้มแดดฝนประทังได้ แถมพี่น้องก็อยู่กันแน่นพรึ่ด ไม่มีใครทอดทิ้งพี่สาวลงคอหรอก

ต่อมาก็มีข่าวว่าพี่สมหมายและสามีของเธอหัวเราะกันใหญ่

ไฟไหม้แล้วหัวเราะมีที่ไหน?

ที่หัวเราะนั้นไม่ได้เกิดเพราะขบขันบันเทิงกับไฟอะไร แต่คงเป็นหัวเราะแช่มชื่นด้วยปิติอย่างหนึ่ง เพราะสิ่งที่ทำให้พี่สาวและพี่เขยยิ้มกันออกก็คือ

รูปถ่ายของหลวงพ่อชาทุกใบบนบ้านไม่ถูกไฟไหม้

ผมฟังแล้วก็เฉย ๆ ไม่ได้ตื่นเต้น

ถ้าไฟไหม้รูปหลวงพ่อชามอดเป็นถ่านนั่นซีค่อยตื่นเต้น ว่างั้นเถิด

นี่พูดด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง เพราะว่าเชื่อในคุณธรรมของหลวงพ่อชามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนหัวหงอกก็ว่าได้

เกี่ยวกับไฟไหม้นี้เคยเกิดเหตุครั้งหนึ่งในตลาดอำเภอวารินชำราบ ไฟไหม้แถว ๆ หน้าโรงจำนำปัจจุบัน เดิมเป็นบ้านใคร ผมก็เลือนไปแล้ว เดี๋ยวนี้บริเวณที่ไฟไหม้กลายเป็นธนาคารเอซีย มั่นคงอยู่ทุกวัน ปีที่เกิดเหตุไฟไหม้ตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็น พ.ศ. อะไร แต่ว่าสมัยนั้นหลวงพ่อชายังแข็งแรงไม่ทันอาพาธ

ระหว่างที่ไฟกำลังไหม้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังพยายามดับไฟ แต่วิทยาการด้านดับไฟสมัยนั้นจะไปหวังอะไร ไฟก็ลามจนควบคุมไม่ไหว

หลวงพ่อชาซึ่งกำลังเดินทางกลับจากธุระที่ไหนสักแห่ง ผ่านเข้าตัวอำเภอวารินฯพอดี ท่านบอกคนขับรถให้ขับรถผ่านไปดูตรงไฟกำลังไหม้ รถก็พาท่านผ่านบริเวณนั้น

พอท่านผ่านพ้นไปครู่เดียวไฟก็ดับ

ไม่รู้ว่าดับเพราะท่านหรือว่าดับเพราะพนักงานดับเพลิงดับได้สำเร็จ พอเหมาะพอเจาะกัน

เป็นเรื่องแปลกที่ได้เห็นว่าเหมาะเหม็งอะไรอย่างนั้น

ดูเหมือนที่ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ก็อีกแห่ง ไฟไหม้บ้านลูกศิษย์คนหนึ่ง ลูกศิษย์คนนี้คือผู้ขนหิน+ดินมาถมบริเวณสร้างพระอุโบสถวัดหนองป่าพง ปัจจุบันนี้แหละครับพอไฟไหม้ก็เกิดห่วงและหวงรูปหลวงพ่อชาที่ประดิษฐานไว้บน บ้านเพื่อกราบไหว้บูชา ตัดสินใจวิ่งฝ่าไฟเข้าไปเอารูปถ่ายท่านออกมาเพียงรูปเดียว อย่างอื่นทิ้งหมด

แปลกที่ฝ่าไฟท่วมบ้านออกมาได้โดยไม่เป็นอันตรายอะไรเลยได้อย่างไร

ก็นี่แหละครับที่ผมไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องรูปท่านไม่ไหม้ไฟ

หลังจากนั้นผมจึงมีโอกาสได้กลับอุบลฯ เมื่อกลับก็ไปเยี่ยมพี่สมหมาย และไปตรวจดูที่ไฟไหม้ชั้นบน เมื่อเห็นรอยไฟแล้วก็เบาใจ เพราะว่าไฟไหม้แต่เพียงบริเวณฝาบ้าน ส่วนพื้นตรงกลางยังมีสภาพดี คงไม่ถึงกับจะซ่อมมโหฬารอะไร

ต่อมาก็ได้ดูรูปหลวงพ่อชาที่ข่าวไฟไม่ไหม้ว่า ไม่ไหม้นั้นเป็นอย่างไร

พี่สมหมายยกเซฟตู้เล็กๆ ใบหนึ่งออกมาให้ดูเซฟใบนี้สำหรับเก็บพระเครื่องและวัตถุมงคลโดยเฉพาะมีสารพัดหลวงปู่ครูบาอาจารย์ไม่รู้ของใครต่อของ  ใครลักษณะของเซฟที่เห็นก็คือเซฟจมไฟนั่นแหละครับ ดูไม่จืดหรอก

เมื่อเปิดเซฟออกดูพบว่า พระเครื่องส่วนใหญ่ ซึ่งเลี่ยมกรอบพลาสติกไว้นั้น ไฟได้หลอมพลาสติกละลายรวมตัวกันจับเป็นก้อนทุกองค์ เว้นแต่รูปหลวงพ่อชาเท่านั้นที่พลาสติกไม่ละลายที่หนักหนาสาหัสก็แค่พอง ๆ เป็นฟองอากาศเท่านั้น แม้รูปที่ไม่ได้เลี่ยมพลาสติกก็ไม่ถูกไฟทำลาย

ต้องทำความเข้าใจกันอย่างหนึ่งนะครับว่า แม้เปลวไฟอาจไม่สามารถลามเลียเข้าไปในเซฟได้ แต่ความร้อนสามารถจะอบทุกสิ่งทุกอเย่างในนั้นให้กรอบไหม้ได้

เหมือนเราอบขนมปังจนไหม้ได้นั่นแหละครับ

ดังนั้น แม้ผ้าและกระดาษที่ใช้รองพระในเซฟก็ป่นเป็นผงถ่านสิ้น ไม่มีเหลือเพราะความร้อนดังกล่าว แต่ความร้อนก็ไม่อาจทำอันตรายรูปหลวงพ่อชาได้

ระหว่างนั้นผมสังเกต เห็นผ้ายันต์สีแดงอีกผืนหนึ่งซึ่งปลอดภัยจากไฟไหม้เหมือนกัน ก็สงสัยถามพี่สมหมายว่านั่นผ้ายันต์ของใคร เธอตอบว่า “บ่ฮู้”

ผมหยิบขึ้นมาคลี่ดู
หลวงพ่อเคน วัดเขาอีโต้

ครับผม ผ้ายันต์ของหลวงพ่อเคน วัดเขาอีโต้ ปราจีนบุรี

ตกลงก็มีทีเด็ดอยู่ 2 หลวงพ่อ คือ หลวงพ่อชา และหลวงพ่อเคน

ผมไม่รู้จักหลวงพ่อเคนดีนัก ทราบแต่เพียงว่าท่านเป็นพระอายุยืนร้อยกว่าปี และเข้าใจว่าท่านคงเป็นพระทางภาคอีสาน ชื่อ “เคน” ก็มีแต่ภาคอีสานเท่านั้นที่มีชื่ออย่างนี้

ผมไปค้นหิ้งพระของผมเอง ก็พบเหรียญหลวงพ่อเคน 1 เหรียญ ไม่ทราบว่าเป็นเหรียญรุ่นไหน ดูตัวคาถาาข้างหลังเหรียญก็ยิ่งมั่นใจว่าท่านเป็นพระอีสาน เพราะอีสานเท่านั้นที่จารึกคาถาด้วยตัว “ธัม”

ประวัติท่านผมก็ไม่ทราบ คงทราบแต่เลา ๆ ว่าสมัยท่านจะสาบสูญไปนั้น ท่านไปกับเณรองค์หนึ่ง ออกธุดงค์ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย คงมีเณรรูปเดียวเท่านั้นที่ย้อนกลับมารายงานว่า หลวงพ่อเคนกลายเป็นลำแสงพุ่งหายไปในท้องฟ้า

บางทีถ้าได้โอกาสจะสืบค้นเรื่องราวของหลวงพ่อเคนมาเผยแพร่ ซึ่งก็ต้องรอดูไปก่อนว่าจะทำได้หรือไม่

สืบหาพระเครื่องดีฉบับนี้จึงไม่รู้ว่าจะสืบอะไรให้ผู้อ่าน นอกจากจะบอกว่าถ้าเป็นพระเครื่องของหลวงพ่อชาและหลวงพ่อเคนที่ผมการันตีได้ จากเหตุไฟไหม้นี้เป็นอันว่าดีหมด

พระเครื่องหลวงพ่อชายังพอหา ได้ในจังหวัดอุบลฯ แต่ว่าราคาค่อนข้างแพง และถ้ามีหลงเข้าสนามพระสัก 1 องค์ เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายวับ คนแย่งกันเก็บ

ส่วนของหลวงพ่อเคน ผมเห็นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป คนไม่สนใจเท่าไหร่ และราคาไม่แพง น่าจะหาได้ง่ายกว่า

ใครศรัทธา ก็ลงมือหาเข้าใส่พวงสร้อยคอได้แล้ว

สวัสดี

………………………………….

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 232

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน