โลกหลังความตาย

มีใครเคยรู้สึกว่าตนเองเป็นคนนอกศาสนาบ้างไหมครับ

ศาสนาพุทธนี่แหละมิใช่ศาสนาอื่น

ผมเคยบ่อย ๆ

คือมักรู้สึกว่า
คนเราตายแล้วอาจจะสูญ อาจไม่มีชาติหน้า อาจไม่มีอะไรทั้งนั้น

เหมือนถูกวางยาสลบแค่ฟังเสียงนับหนึ่งไม่ถึงสิบ ก็หายไปเลย ไม่มีตน ไม่มีตัว ไม่มีทั้งความคิดหรือความจำไม่แม้แต่จะฝัน
ทั้งๆที่รู้จักพุทธดำรัสที่แสดงลักษณะของคนนอกศาสนา
ซึ่งมีข้อที่ว่า ผู้ใดเชื่อว่าตายแล้วสูญ รวมอยู่ด้วยข้อหนึ่ง
ก็ยังอดเถียงพระพุทธองค์ไม่ได้

ภูมิธรรมของผมมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย ไม่เคยถึงขั้นรู้จักภพหน้าภพหลังหรือโลกหลังความตาย จึงเป็นเหตุให้มีความสงสัยในเรื่องชีวิตหลังสิ้นใจว่ามันจะเป็นอย่างไรเสมอ

ความจริงเรื่องชีวิตหลังความตาย ได้มีผู้แสดงไว้มากมายหลายวาระ แต่มันเป็นแค่ความรู้ความเห็นของคนอื่นที่เราไม่สามารถสัมผัสได้
อย่างเช่น โลกของผี หรือที่นิยมเรียกว่า วิญญาณ แม้จะเคยเจอมาอย่างแสนสาหัสหลายครั้งพอมาถึงวันหนึ่งก็เกิดลังเลว่า ที่เคยพบผีนั้นมันเป็นผีจริงหรือไม่ เพราะว่าขณะที่เจอผีนั้น กลัวจนขาดสติ หวาดหวั่นจนขาดความฉลาดที่จะพิจารณาผีที่เจอนั้นว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร

มีเสียงแปลกในความมืดอันสงัด มีกลิ่นประหลาดในที่อันไม่ควรมี หรือเห็นรูปลึกลับวาบไหวในห้องเก็บของเก่า เราโยนบาปให้ผีทั้งหมด

ความกลัวเป็นตัวโยนปาบที่ร้ายกาจที่สุด

แต่ความกลัวไม่เที่ยงแท้แน่นอนหรอกครับ เพราะว่าวันหนึ่งก็จะหายกลัว

พอวันนั้นมาถึงผีก็หายไปจนหมดสิ้น

เสียงก็คือเสียง กลิ่นก็แค่กลิ่น รูปที่เห็นก็แค่รูป แม้สัมผัสพิลึกในสรรพางค์กายก็ยังเป็นแค่สัมผัส

เมื่อความกลัวหายไปความหิวโหยที่จะได้พบผี ที่แน่ใจว่าเป็นผีจริงๆก็มีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

อย่าคิดว่าผมกำลังอวดดี หรืออวดเก่ง

โดยลึกๆแล้วเป็นความกระหายที่จะรู้จักโลกหลังความตายว่ามีอยู่จริงหรือไม่

ถ้าเรายอมรับว่าผีคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความเป็นคน เราจะไปกลัวผีทำไม เพราะว่าวันหนึ่งเราก็จะไปเป็นผีอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

หากโชคดีถึงขั้นได้พบผีอย่างเครื่องบินที่บินไปในทัศนวิสัยอันแจ่มชัด ความสงสัยในเรื่องผี หรือเรื่องโลกหลังความตาย ก็จะถนัดชัดแจ้งขึ้นเอง

สาบานได้ว่าผมหวังแค่นั้น

แต่เราจะพบผีได้ที่ไหนก็ในเมื่อสถานที่ซึ่งลือว่าดุว่าเฮี้ยน ยังให้ผีสักตัวแก่เราไม่ได้สักแห่ง

ในที่สุด ข่าวศาลาผีดุก็มาถึง

ศาลาหลังนี้ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ใหญ่โตมโหฬารขนาดรับคนได้เป็นจำนวนหลายร้อยคน ไม่มีใครรู้อีกด้วยว่าสร้างมาแต่สมัยไหน ตั้งอยู่ในวัดที่เคยร้างมาแสนนาน แม้วันนี้จะมีหลวงปู่ และพระลูกศิษย์เข้ามาอยู่ก็แค่เพียง 3 รูป เป็นศาลาไม้ ขนาดเสา 40 ต้นขึ้นชื่อลือชาว่า แม้พระเณรหรือคนธรรมดาก็ไม่เว้น ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน กล่าวเป็นเรื่องเดียวกันว่า เฮี้ยนระดับมหากาฬ

ถึงกับว่ามาเดินรอบมุ้งทั้งคืน ถึงกับขึ้นข่มพระบีบคอ จนพระแทบตาย และถึงกับว่าปรากฏกายให้คนพร้อมๆกันนับสิบคนได้เห็น

ในใจตั้งปรารถนาจะไปนอนที่ศาลานั้นสักคืน โดยไม่บอกจุดประสงค์แก่เพื่อนร่วมทางอีก 3 ท่าน คืออาจารย์เวทย์, ปลัดตุ๋ย (ถาวร คูณคำตา), ท่านเมี่ยงวรมัน (ธีรพร ฐานานุศักดิ์) ซึ่งแต่ละท่านมีจุดประสงค์คนละอย่างสองอย่าง ทั้งคล้ายกันและแตกต่างกัน

อาจารย์เวทย์ ตั้งใจจะไปนมัสการหลวงปู่ผู้เป็นเจ้าอาวาส เพราะว่าไม่ได้พบกันหลายปี ท่านปลัดตั้งใจจะเอาพระกับแหวนหยกไปให้หลวงปู่เสก นอกจากนี้อะไรที่เกิดขึ้นถือเป็นของแถมทั้งหมด ท่านเมี่ยงวรมันมีวิญญาณของนักท่องเที่ยวผจญภัยอยู่เต็มเปี่ยมก็ไปเรื่องนั้น และพ่วงเอาเสือภูเขาขึ้นท้ายไปอีกคัน รวมทั้งของผมอีกคัน รวมเป็น 2 คัน นัยว่าจะไปรำลึกการปั่นเสือครั้งเขมร คือ ปั่นจากเสียมเรียบไปทะเลสาบโตนเลด้วยกัน ส่วนผมนอกจากจะไปกราบหลวงปู่แล้วก็มีเรื่องลึกลับที่ซ่อนไว้ในใจนี่เอง

9m5--

บรรยายภาพ : เมี่ยง วรมัน ธีรพร ฐานานุศักดิ์ (ซ้าย) อำพล เจน (ขวา)

คงต้องสงวนนามหลวงปู่ไว้ก่อน รวมทั้งชื่อวัด เนื่องจากทั้งคณะและองค์หลวงปู่เองประสงค์จะอยู่อย่างสงบเหมือนที่แล้ว ๆ มา คงจะเป็นเรื่องบาปหนาสาหัสหากว่าผมจะเป็นผู้ทำลายความสงบนั้น

(หมายเหตุ:ขณะที่เขียนเรื่องนี้ หลวงปู่ยังเก็บตัวเงียบ ภายหลังจึงยอมให้แนะนำท่านต่อสังคมภายนอก หลวงปู่ท่านนี้คือ หลวงปู่ทองสา ฐิตเปโม)

วัดอยู่ในเขตอำเภอปากคาดชนแดนอำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ภูมิประเทศเป็นป่าเขา โดยเฉพาะฝั่งลาวคือภูเขาควายอันมหึมาที่ยังเป็นแดนลี้ลับสำหรับผู้ไม่เคยสัมผัส
แต่ฝั่งไทยก็ใช่ย่อย ทั้งภูลังกาด้านทิศตะวันออก ซึ่งเลียบแม่น้ำโขง ที่เรารู้ว่าด้านหลังภู คือตะวันตก เป็นที่ตั้งของภูทอกของท่านอาจารย์จวน กุลเชษโฐ กับภูสิงห์ ภูวัว รวมทั้งภูหอคำ ฝั่งตรงข้ามในเขตลาว หรือแม้แต่ภูผาแดง ที่มีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นในยามค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงว่า มีลูกแก้วเสด็จลอยออกจากผาแดง จนแม้หมอธรรมหลายคนพยายามจะทำพิธีดักลูกแก้ว แต่ยังไม่สำเร็จ
พื้นที่แถบนี้เกลื่อนกล่นไปด้วยรอยเท้าของครูบาอาจารย์ในอดีต ทั้งปู่มั่น ปู่แหวน ปู่ขาว ปู่ตื้อ สารพัดหลวงพ่อหลวงปู่ล้วนเคยใช้ที่นี้ เป็นที่ปฏิบัติรวมทั้งเป็นทางผ่านไปสู่ภูเขาควาย

แม่น้ำโขงตรงวัดอาฮงศิลาวาส บ้านอาฮง อำเภอบึงกาฬ ที่เราต้องผ่านได้ชื่อว่าลึกที่สุด จนถึอว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง และว่ากันว่าเป็นถิ่นกำเนิดบั้งไฟพญานาคแห่งแรกที่คนรู้จัก เรามองดูกระแสน้ำวน และภูหอคำฝั่งตรงข้ามอันใหญ่โตแล้วนึกเลยเถิดไปถึงจุดที่เรียกว่า ภูเขาควาย อันเป็นเทือกเดียวกัน ก็รู้สึกได้ถึงความน่าประหวั่นในสิ่งลี้ลับที่อาจซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่งของป่าดงดิบ และเขาสูงเสียดฟ้าและที่ริมฝั่งตรงข้ามยังปรากฏเจดีย์สีทององค์เล็กนิดเดียว เด่นสง่าอยู่ท่ามกลางป่ามืดยามโพล้เพล้ นั่นคือเจดีย์บรรจุอัฐิของเจ้าหญิงลาวพระองค์หนึ่ง ซึ่งสูญชีพในสะดือน้ำโขงแต่เนิ่นนานมาแล้ว

ท่านเมี่ยงวรมันมองดูสะดือน้ำโขง แล้วบอกว่าวันหนึ่งจะมาดำน้ำลงไปดูว่า ลึกจริงเท็จแค่ไหน

ท่านเมี่ยงวรมันผู้ซึ่งผมไม่เคยเห็นท่านกลัวอะไร กำลังประกาศความห้าวหาญที่ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรจะต้องทำเช่นนั้น

แต่ความอยากรู้ของท่านก็คงคล้ายกับความอยากรู้ของผมที่อยากรู้เรื่องผี ซึ่งอาจไม่ใช่ความจำเป็นของใครเหมือนกัน

แม้ท่านปลัดคิม ปังกานิบาน (หน้าห้องผู้ว่าฯ หนองคาย) เจ้าของพื้นที่จะทัดทานเราให้พักค้างคืนที่วังคำรีสอร์ท ริมน้ำโขงบ้านหอคำก็ไม่สำเร็จ
เรายืนยันจะนอนวัด และนึกขอบอกขอบใจท่านปลัดอยู่ลึก ๆ แต่อาฆาตพยาบาทไว้ว่า จะมานอนแก้แค้นสักสองสามคืนในวันออกพรรษาที่จะถึงนี้ เพื่อเฝ้าดูบั้งไฟพญานาค ซึ่งท่านก็ยินดีที่จะให้เราล้างแค้นอย่างเต็มใจ เห็นจะเป็นเพราะท่านปลัดคิมกับท่านเมี่ยงวรมันเป็นเพื่อนซี้กันมาแต่อ้อนแต่ออก

เราผ่านคำทัดทานที่เปี่ยมด้วยความเป็นห่วงเป็นใย จนไปถึงวัดโดยไม่คลอนแคลนในเจตนา

และมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุด

นอกจากแสงหิ่งห้อยที่บินวูบวับในแนวป่าของวัดแล้ว ไม่ปรากฏแสงไฟอื่นใด

ตลอดทั้งวัดมืดสนิทจนแม้เรายืนประชิดกันแค่ไหน ยังไม่สามารถมองเห็นกันได้

ไม่มีคน ไม่มีพระ ไม่มีเณร ไม่มีแม้หมาสักตัว

นอกจากเรา 4 คนแล้ว ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีก

เรามีไฟฉายคนละกระบอก ที่เป็นแหล่งกำเนิดไฟแหล่งที่สองรองลงมาจากหิ่งห้อย และหลังจากใช้ไฟฉายสำรวจวัดก็พบศาลาไม้หลังใหญ่ทะมึนอยู่ อาจารย์เวทย์ให้เราคอยที่ศาลาผีดุนี้ ส่วนท่านออกไปค้นหาหลวงปู่ หรือพระลูกศิษย์เพียงลำพัง เราก็ถือโอกาสสำรวจศาลาไปด้วย
ไม่มีใครอยู่ในศาลาโบราณน่ากลัวนี้เลย แม้ทางขึ้นยังหาไม่พบในเบื้องแรก จนกระทั่งสังเกตเห็นห้องสองห้องตรงมุมเสาทั้งสองด้าน จึงทราบว่าบันไดทางขึ้นอยุ่ในห้องทั้งสองนั้น แต่ก็เข้าไม่ได้ เพราะประตูเข้าล็อกไว้ด้วยกุญแจดอกโต

ถ้าจะนอนที่นี่จะทำอย่างไร ใต้ถุนศาลารกเรื้อไปด้วยฝุ่น ไม่มีเครื่องนอน ไม่มีลักษณะที่จะพออาศัยนอนได้ นอกจากข้างบนที่เรายังหาทางขึ้นไม่ได้ ความสูงของศาลาไม่ใช่เรื่องที่เราคิดจะปีนได้ง่าย ๆ จึงหวังเพียงคอยให้อาจารย์เวทย์หาตัวเจ้าของสถานที่จนพบเท่านั้น

มีเสียงนกกลางคืนร้องโหยหวนมา นอกจากหิ่งห้อยก็มีนกที่เป็นสิ่งมีชีวิตในวัดนี้ เวลาผ่านไปพอสมควร อาจารย์เวทย์กลับมาพร้อมกับส่ายหัวว่าไม่มีใครอยู่ในวัดเลย ทุกกุฏิว่าง ไม่มีพระ ไม่มีเณร

ตกลงว่าออกไปสอบถามชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดที่สุด ดีกว่าจะงมโข่งโดยไม่รู้อะไรเลย

เราย้อนกลับออกที่หมู่บ้าน และเมื่อชาวบ้านบอกว่าในวัดมีพระอยู่ 3 องค์ ไม่ได้ไปไหนหรอกเพราะว่าเมื่อเช้านี้ยังเห็นพระ 3 องค์ออกมาบิณฑบาต นั่นเป็นข่าวดีที่ทำให้เราย้อนกลับเข้าไปในวัดอีกครั้ง แต่ข่าวร้ายก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม คือหลังจากสำรวจอีกรอบ เราก็ยังไม่พบใคร
ปัญหาที่เราถกกันในเวลาต่อมาคือ เราจะนอนที่ไหน ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแต่มืดสงัด ปานตีสองตีสาม จะย้อนกลับไปนอนกับปลัดคิมดีไหม ความรู้สึกก็ค้านไว้ว่าจะเสียเหลี่ยมเปล่า ๆ คนปากแข็งมักมีเหลี่ยมแบบไร้เหตุผลเสมอ

เราจึงค้นหาที่นอนในวัด และได้พบศาลาอีกหลังหนึ่ง ดูแล้วเป็นศาลาที่ยังมีการใช้ประกอบกิจสงฆ์ มีข้าวของเครื่องใช้ทั้งเสื่อและหมอนพอได้อาศัยนอน จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นอนกันที่นี่แหละ คอยจนรุ่งเช้าจนกว่าพระที่หาตัวไม่พบจะออกมาเอง

ต่างคนต่างคว้าเสื่อและหมอนออกเลือกที่นอนคนละมุม คะเนว่าห่างกันพอสมควร คล้ายจะรักษาพระวินัยในระยะห่างของแต่ละกลด ที่จะปักค้างคืน แต่เราไม่ได้ทำตามพระวินัย เราแค่หวังว่าจะไกลกันพอที่จะไม่ได้ยินเสียงกรนของกันและกันเท่านั้น

ผมยอมรับว่าผ่านพ้นคืนนั้นอย่างยากลำบากที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะอะไรรู้แต่ว่าตนเองนอนด้วยอาการระวังตัว
ถึงกับถามตัวเองว่า กลัวหรือไม่
คำตอบคือ ไม่กลัว
เมื่อไม่กลัวแล้วทำไมไม่หลับ ไม่นอนเสียโดยง่าย
คำตอบคือ บางทีจะเหมือนเราถูกขู่โดยคนร้ายสักคนว่าจะบุกเข้ามาฆ่าเราในคืนนี้ เรารู้แน่ว่ามันอาจจะบุกมาจริง เราไม่กลัว จึงไม่หลบหนีไปนอนที่อื่น เราจะนอนคอยมัน ดังนั้นอาการของคนที่จะนอนคอยอันตรายจึงเป็นไปด้วยความระแวดระวัง

คืนนั้นในศาลาวัด ผมก็นอนด้วยอาการเช่นนี้

เพิ่งเข้าใจที่ครูบาอาจารย์มักสอนให้ไปปฏิบัติในที่เปลี่ยวร้าง อย่างเช่นในป่าช้า เพราะว่าบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมจะปลุกประสาทให้ผู้ปฏิบัติไม่ง่วงเหงาหาวนอน

นอนภาวนาพุทโธ กำหนดลมหายใจไปเสียเลย

เมื่อทำเช่นนี้กลับรู้สึกว่าคืนอันยากลำบากผ่านไปอย่างรวดเร็ว

มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นในคืนนั้นเหมือนกัน

จะเรียกว่าฝันก็ฝัน จะไม่เรียกว่าฝันก็ไม่ใช่ฝัน

เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน
คือทางเท้าหน้าศาลานั้น มีคนมากมายเดินกันมาเป็นสาย ไม่รู้มาจากไหนกัน
เป็นคนทุกวัยทุกเพศ ทั้งยังทุกสภาพอีกด้วย
บางคนไม่มีหัว บางคนน่าเกลียดน่าขยะแขยง บางคนโปร่งแสง บางคนสวยงาม
ทุกคนเดินตรงเข้ามาในศาลา โดยมีผมยืนขวางอยู่ปากทางเข้า
พวกเขาทำเหมือนไม่เห็นผมสักคน
เป็นเหตุให้ผมต้องคอยเบี่ยงตัวหลบคนโน้นทีคนนั้นที
เพื่อให้พวกเขาผ่านเข้าไปนั่งกันจนเต็มศาลา

กำลังงงๆว่าพวกเขาเป็นใคร มาทำธุระอะไร

ก็ได้ยินเสียงไก่ขัน

นึกว่าเป็นไก่ขันรอบเที่ยงคืน ..แต่ทำไมฟ้าแจ้ง

รู้สึกเหมือนว่าเวลาเพิ่งผ่านไปแค่ไม่เกิน ๒ ชั่วโมงเท่านั้น

นี่จึงเป็นเช้าที่เห็นชัดว่าทุกคนออกอาการประหนึ่งหลับไม่สนิทตลอดคืน
มองหน้ากันด้วยอาการต่างคนต่างเงียบ
แค่ดวงตาก็สื่อความหมายได้พอสมควร

เราคอยจนสายปรากฏว่าทั้งวัด ไม่มีใครอยู่จริง ๆ มีเพียงเรา 4 คนแค่นั้น

เรียกว่าเรานอนวัดร้างอย่างแท้จริงเข้าให้แล้ว

เกิดคำถามอีกข้อว่าพระทั้งวัดหายไปไหนกันหมด คำตอบอยู่ที่โยมอุปัฏฐากที่เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านคนหนึ่ง เขาบอกว่า หลวงปู่นำพระลูกศิษย์ทั้ง 2 องค์ ออกไปปลีกวิเวกที่ภูสิงห์ ตั้งแต่ 2 วัน ก่อนที่เราจะมา

มีผู้ถามว่า เมื่อคืนนอนกันที่ศาลาไม้หลังนั้นหรือเปล่า เมื่อเราตอบว่าไม ่ดูท่าคนถามจะคลายกังวลใจ

ทุกคำถามกับทุกคำตอบที่เกี่ยวข้องกับศาลา ล้วนเป็นเรื่องน่าสนใจ ทั้งเป็นการยืนยัน ความเป็นศาลาผีดุให้แน่นแฟ้นขึ้น

แต่ศาลาไม้ที่เป็นเป้าหมายก็ยังลอยนวลอยู่

ผมกับท่านเมี่ยงตกลงกันว่า วันหน้าเราจะมาที่นี่อีก และจะนอนศาลาไม้โบราณนี้ให้จงได้

แน่ใจได้ว่าความตั้งใจอันนี้คือ แรงอาฆาตพยาบาทที่หวังจะมานอนแก้แค้นอีกแห่งหนึ่ง ถึงตอนนั้นบางทีจะมีเรื่องทั้งที่คาดคิดและไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็ได้

แม้เที่ยวนี้จะถือว่าเป็นปฏิบัติการที่ล้มเหลว แต่ผมไม่ท้อถอย ยังคงมีความหวังตั้งใจอยู่อย่างล้นปรี่ และเมื่อโลกหลังความตายปรากฏชัดเจนแล้ว ผมยังมีเรื่องพิสดารที่จะเล่าต่อไปอีกมาก เรื่องที่ผมเฝ้าติดตามมาเป็นเวลานับสิบกว่าปี ที่ผมเล่าให้คนใกล้ชิดฟังแล้วอยากรู้ตอนจบพร้อม ๆ กับผมทุกคน

เที่ยวนี้ให้คิดว่าเป็นการฟังเรื่องเล่าคั่นเวลา และเป็นการเอาตัวรอดของคนเขียนหนังสือที่ไม่มีข้อมูลอีกฉบับหนึ่ง

มีคนแซวผมบ่อย ๆ ว่าพักหลังหมดมุข เลยเดินขึ้นธรรมาสน์เทศน์

ตอนนี้ลงจากธรรมาสน์แล้วครับ

แถมยังเลี้ยวเข้าป่าช้าอีกด้วย

ออกจากป่าช้าจะเลี้ยวไปที่ไหนยังบอกตนเองไม่ได้

อย่างไรก็ตามเรื่องโลกหลังความตายยังคงเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะสัมผัสได้ อย่างที่คิดเอาไว้ก่อนแล้วไม่มีผิด…..

……………………………………………..

งานเขียนของ อำพล เจน
จากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 517
วันที่ 16 กรกฎาคม 2547

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน