เหรียญเปิดโลกของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
ความเป็นเหรียญเปิดโลก (ของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก) นั้นเป็นที่สนใจและศรัทธาได้ ซึ่งถ้าหากจะถือเป็น masterpiece แห่งบรรดาวัตถุมงคลทั้งหลายที่หลวงปู่ดู่ได้ทำไว้ เหรียญเปิดโลกก็เป็น
ทั้งยังบอกได้เต็มปากว่าเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่ท่านทิ้งทวนเอาไว้
ก่อนจะกล่าวถึงมวลแห่งเรื่องทั้งหลาย เห็นจะต้องกล่าวขอบคุณคุณสุรรัตน์ นิโครธานนท์ ที่ให้ทั้งเหรียญทั้งข้อมูลเพิ่มเติมจากที่เคยมีเคยรู้ไว้ตรงนี้
เริ่มได้
“ข้าอธิษฐานแบบเปิดสามโลกให้ จงเก็บ (พระ) ไว้ให้ดี ข้าตั้งใจทำมาก ถ้าข้าตายไปคงไม่มีใครตั้งใจทำพระให้แกเหมือนอย่างข้าอีก”
วาทะนี้เป็นของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ซึ่งมีขึ้นภายหลังพิธีปลุกเสกพระเครื่องรุ่นนี้เสร็จสิ้นลง
“นี่เป็นความจริงที่ศิษย์ทุกคนไม่เคยลืม ท่านตั้งใจอธิษฐานพระทุกรุ่นทุกแบบ บางรุ่นบางครั้งท่านถึงกับหยิบมาเสกทีละองค์ จารทีจะละองค์ (ถ้าเป็นเหรียญ) และเอาดินสอขีดลากเพื่อตั้งองค์พระทีละองค์ (ถ้าเป็นพระผง) ท่านว่าอัญเชิญพระพุทธเจ้าลงปฏิสนธิ”
คุณสุรรัตน์อธิบายจนมองเห็นภาพ ๆ เดียวกันกับที่คุณสุรรัตน์ได้เห็น
เรื่องของหลวงปู่ดู่เห็นทีจะกล่าวถึงไม่ไหว เนื่องจากว่าได้มีผู้กล่าวถึงท่านมาก่อนแล้ว มากมายในที่หลายแห่ง ล้วนแต่แสดงคุณธรรมอันไม่ต้องสงสัย แต่มรดกขลังของท่านยังดูคับแคบไปหน่อย เมื่อเปรียบกับอุโฆษแห่งของขลังในครูบาอาจารย์องค์อื่น ๆ บางองค์,
ดูเหมือนจะจำกัดอยู่แต่หมู่ศิษย์ที่รู้จักเลื่อมใสในปฏิปทาของท่านเท่านั้น
คนอื่นๆที่อยู่ไกลตัวท่านยังคอยเวลาซึมซับบรรดามีแห่งศรัทธา เพื่อเริ่มต้นขวนขวายเอาใจใส่ในมรดกขลังที่เปี่ยมล้นคุณค่า อันท่านได้ฝากไว้
พระเครื่องรุ่นเปิดโลกคือมรดกเอกที่ใครคว้าไว้ได้ก็น่าจะถือเป็นทายาทคนที่ 1 แห่งพินัยกรรม เพราะนั่นคือพระดีที่มีคำยืนยันอย่างเด่นชัดจากองค์หลวงปู่เกษม เขมโก ปรากฏอยู่ดังคำบอกเล่าของคุณสุรรัตน์ ต่อไปนี้
“มีเรื่องที่น่ายินดีเป็นที่สุด เกี่ยวกับวัตถุมงคลที่หลวงปู่ดู่ได้อธิษฐานไว้ครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของผมเอง กล่าวคือ เมื่อครั้งที่ผมบวชอยู่วัดป่าสาละวันนั้นมีเพื่อนพระด้วยกันรูปหนึ่ง ท่านเป็นคนจังหวัดแพร่ เมื่อได้สนทนากันและได้มอบหนังสือพระผู้จุดประทีปในดวงใจ (ของปู่ดู่) ให้ท่านก็ทำท่าแปลกใจและครุ่นคิดมากหลังจากเห็นชื่อหลวงปู่ดู่ ผมถึงถามว่าท่านเป็นอะไรไป ท่านก็บอกว่ารู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาจากไหน และแล้วท่านก็ร้องอ๋อ..ยาวเหยียดพร้อมกับเล่าความหลังให้ฟังว่า ครอบครัวของท่านถึงแม้จะอยู่ไกลถึงจังหวัดแพร่ แต่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็มีความศรัทธาในหลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ เป็นยิ่งนัก ในระยะ 1-2 เดือนท่านและครอบครัวจะเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อเกษมครั้งหนึ่งเป็นประจำเสมอ คราวหนึ่งหลวงพ่อเกษมได้ถามคุณแม่ของท่านว่า รู้จักหลวงพ่อดู่วัดสะแกไหม คุณแม่ตอบว่าไม่รู้จัก ท่านก็ถามอีกว่าเคยได้ยินชื่อไหม คุณแม่ก็ส่ายหน้าว่าไม่เคยได้ยิน ท่านพูดต่อด้วยเมตตาว่า ให้ไปหาไว้เสีย เหรียญนี้กันนิวเคลียร์ได้ ผมถึงกับร้อง ฮ้า…ออกมาดัง ๆ ด้วยความไม่เชื่อหู รีบถามปากคอสั่นว่าท่านแน่ใจหรือท่านจำผิดหรือเปล่า ท่านก็ยืนยันว่าใช่แน่นอน โยมแม่ท่านยังกลับมาถามใครต่อใครถึงเรื่องเหรียญนี้อีกหลายครั้งว่าใครรู้จักบ้าง ผมนิ่งเงียบไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ด้วยไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดมาก่อน นอกจากท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส แต่นั่นก็เป็นปฐวีธาตุที่ท่านอธิษฐานจิตเป็นพิเศษ”
เกี่ยวกับเหรียญเปิดโลกของหลวงปู่ดู่ วัดสะแกนี้ได้มีบันทึกพิธีปลุกเสกซึ่งเขียนโดยอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ แสดงรายละเอียดในการสร้างว่ามีอะไรบ้าง
1. เหรียญทองคำ รูปหลวงปู่ทวด 250 เหรียญ
2. เหรียญเงิน รูปหลวงปู่ทวด 1,036 เหรียญ
3. เหรียญทองแดง รูปหลวงปู่ทวด 10,500 เหรียญ
4. พระผงรูปหลวงปู่ทวดฝังพระธาตุ 360 องค์
5. พระผงรูปหลวงปู่ทวดธรรมดา 4,640 องค์
6. โปสเตอร์ รูปหลวงปู่ดู่ (มีใบโพธิเป็นฉากหลัง) 10,000 แผ่น
7. ลูกแก้วสารพัดนึก 5,000 ลูก
วัตถุมงคลทุกรายการสร้างขึ้นเพื่อแจกฟรี ยกเว้นแต่เหรียญทองคำและเหรียญเงิน โดยคิดแค่ต้นทุน และสร้างตามจำนวนผู้สนใจจองไป
สำหรับเหรียญทองคำ, เงิน และทองแดง ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกพร้อมกับเหรียญหลวงพ่อหวล ภูริทัตโต วัดพุทไธสวรรย์ ในงานพิธีนี้ได้นิมนต์ครูบาอาจารย์มาร่วมพิธีหลายรูป เช่น หลวงพ่อทิม วัดพระขาว หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิกบเจา และในฐานที่หลวงพ่อหวลเป็นพระอุปัชฌาย์ท่านอาจารย์ศุภรัตน์ จึงให้ท่านอาจารย์ศุภรัตน์นิมนต์หลวงปู่ดู่ด้วย
หลวงพ่อหวลไม่เคยรู้จักเห็นหน้าหลวงปู่ดู่มาก่อน และหลวงปู่ดู่ก็ไม่เคยรับนิมนต์ออกนอกวัด ซึ่งเป็นอธิษฐานวัตรเช่นเดียวกับที่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ได้อธิษฐานจนตลอดชีวิต
หลวงพ่อหวลได้เล่าว่า ขณะที่ท่านกำลังจุดเทียนชัย ท่านเห็นพระรูปหนึ่งมายืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเป็นพระที่ไม่เคยรู้จัก แต่ในขณะจิตนั้นเกิดนึกถึงหลวงปู่ดู่โดยไม่ตั้งใจ และหลังจากนั้นจึงได้เห็นภาพของหลวงปู่ดู่ ที่อาจารย์ศุภรัตน์นำมาถวาย ท่านจึงเอะอะนี่เป็นพระองค์เดียวกันกับที่ท่านเห็นในวันพิธีพุทธาภิเษก ตอนที่กำลังจุดเทียนชัย
นับว่าแปลกดี
หลวงปู่ดู่ก็ได้กล่าวไว้ด้วย
“เดี๋ยวจะว่าข้าโกหก ของงี้ใครตาดีก็ดูกันเอาเอง”
วันอังคาร ที่ 29 สิงหาคม 2532 เป็นวันพิธีปลุกเสกพระรุ่นเปิดโลกที่แท้จริง ผู้คนมาร่วมพิธีมากมายเกินคาดหมายและของที่นำเข้าพิธีทั้งของหลักและของฝากพิธี มีจนสูงล้นท่วมองค์หลวงปู่ดู่
ในการนี้ท่านอาจารย์ศุภรัตน์ได้รำพึงว่า
“ทุกคนที่มาในพิธีนี้อาจคิดไม่ถึง นี่จะเป็นวาระสุดท้ายที่หลวงปู่จะโปรดบรรดาศิษย์ของท่าน” เพราะว่าหลังจากพิธีนี้ไม่นานเดือนท่านก็มรณภาพ
ภายหลังพิธีเสร็จสิ้นลง หลวงปู่ดู่ได้บอกว่าเกือบจะปลุกเสกไม่ได้ เนื่องจากมีคนจัดยาถวายท่านผิด ทำให้ท้องเสียจนถ่ายท้องหลายครั้ง ครั้นเมื่อถึงพิธีกลับทำได้
“เวลาที่เริ่มต้นอธิษฐานจิตปลุกเสกประมาณ 2 ทุ่มเศษ ใช้เวลาปลุกเสกนาน 20 กว่านาทีเท่านั้น ได้เรียนถามท่านว่าทำไมใช้เวลาน้อยนัก ท่านว่าเพียงมาต่อยอด เพราะได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วระหว่างพิธี ศิษย์ที่มีสัมผัสดี ๆ บอกว่า เกิดรู้สึกแปลก ๆ ในสถานที่ปลุกเสก (วัดสะแก) ผู้มีสมาธิพบว่า มีพุทธนิมิตเป็นรูปหลวงปู่ทวดองค์เล็กองค์ใหญ่เต็มเกลื่อนท้องฟ้าเหนือวัดสะแก” อาจารย์ศุภรัตน์กล่าว
ที่ต้องบันทึกไว้เป็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือคำพูดของหลวงปู่ดู่ ที่มีขึ้นในระหว่างพิธีดังนี้
“ยกของ (วัตถุมงคล) ทั้งหมดมาที่วัดสะแก อย่าเพิ่งวางลง ทำทักษิณาวัตรรอบภูเขาบุญเสียก่อน 3 รอบ ตอนนี้หลวงพ่อทวดอยู่ที่ไหน ลอยอยู่ในอากาศเห็นหรือยัง อัญเชิญพุทธนิมิตหลวงพ่อทวดมาปฏิสนธิสถิตในของทั้งหมด ดูซิ ของทั้งหมดสว่างไสวไปหมด แสงแตกกระจายออกไปเหมือนไฟพะเนียงแตก ขอหลวงพ่อทวดคุ้มครองรักษาฝากเทวดาช่วยปกป้องรักษาของทั้งหมดนี้ตลอดไป ปิดอันตรายทุกอย่าง ตั้งใจให้ดี อุทิศส่วนกุศลไปให้โดยรอบสุดจักรวาล อนันตจักรวาล ฉันจะให้พรแทน”
หลวงปู่ดู่ได้กล่าวว่า ของทั้งหมดนี้ท่านอธิษฐานแบบเปิดสามโลกให้
ศิษย์ทั้งหลายจึงพร้อมใจกันเรียกชื่อเหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นนี้ว่า “รุ่นเปิดโลก”
อาจารย์ศุภรัตน์ได้อธิบายถึงภูเขาบุญที่ท่านกล่าวถึงว่าเป็นภูเขากว้าง 1 เส้น ยาว 1 เส้น สูง 1 เส้น มีรัศมีสว่างไสว ภูเขานี้ท่านเป็นผู้อธิษฐานให้มีขึ้น ในสมัยท่านพากเพียรประพฤติปฏิบัติ มีอยู่ 4 ลูก สถิตอยู่ทิศทั้ง 4, 1 ใน 4 ลูกนั้นอยู่ที่วัดสะแก เพื่อให้วิญญาณทั้งหลายทั้งสูงทั้งต่ำเมื่อได้เห็นภูเขาบุญของท่าน ก็จะเกิดบุญกุศลแก่สรรพวิญญาณเหล่านั้น ท่านยังกล่าวฝากฝังให้เทวดาช่วยปกปักรักษาโดยอธิษฐานให้ของทั้งหมดนี้ คงความศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้ 1 กัป เพื่อให้ถึงยุคพระศรีอริยเมตไตรย์ นั่นเอง
เห็นจะเพลา ๆ เรื่อง “เปิดโลก” ไว้เท่านี้ก่อน เพราะคงต้องความลี้ลับ มหัศจรรย์อยู่มากมายเกินไป จนต้องให้ถึงกับยั้งๆปาก ยั้งๆมือเขียนไว้บ้าง
ขออภัยที่เปิดโลกนี้เปิดไม่ถึงใจว่างั้นเถอะ
แต่ที่ยกเอาพระเครื่องอีกรุ่นหนึ่งของท่านมาเสริมในช่วงสุดท้ายนี้ เพราะเห็นว่ามีความแปลกประหลาดเอาการ เรียกชื่อว่าพระผงธรรมธาตุ มีลักษณะเป็นพระผงธรรมดาพื้นๆ เนื้อหามวลสารไม่ได้พิสดารพันลึกอะไร คล้ายกับจะหล่อขึ้นด้วยปูนทำนองปูนปลาสเตอร์ แต่ทำไมกลับมีผลึกใสเกิดขึ้นได้
คุณสุรรัตน์ นิโครธานนท์ บอกว่าแปลกใจมากที่พระของท่านขึ้นพระธาตุได้ ท่านบอกว่าไม่ใช่พระธาตุ แต่เป็น “พระธรรมธาตุ”
ที่น่าอัศจรรย์คือ ยิ่งใครสวดภาวนามาก ๆ จะเพิ่มจำนวนได้ด้วย นับเป็นของหายากยิ่ง แม้ในพระรุ่นเดียวกัน 100 องค์ จะมีพระธรรมธาตุสัก 10 องค์ ก็แสนยาก
ตัวอย่างพระผงที่ขึ้นพระธาตุก็ได้ลงตีพิมพ์แล้ว ขอให้พิจารณาดูผลึกใส ๆ ที่คล้ายผลึกของสารส้มนั้นว่าเป็นอะไรแน่ ใครรู้จริงโปรดอธิบายด้วย
ทั้งหมดนี้คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา ที่ไม่อาจชี้นำได้ว่า มรดกขลังเปิดโลกของท่านจะแสวงหาได้ที่ไหน นอกจากจะต้องขวนขวายค้นหากันเอาเอง
ขอให้พบเปิดโลกโดยสะดวกทุก ๆ คน
…………………………………………………
หนังสือศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 303