อาจารย์ปู่ คำผุก อุนาภาค_11
คุณพัทพลบอกว่า เรื่องนี้ฟังคุณยายมณฑาเล่า
คุณยายบุญหนา ภูมิลำเนาเป็น คนอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลฯ
สามีของคุณยายชื่อว่า “หล่า” หรือ “ทิศหล่า”
มีอีกฉายาหนึ่งคือ “ทิศหล่าหนังเหนียว” เคยบวชอยู่กับจารย์ปู่คำพุกหลายพรรษา
เรื่องมีอยู่ว่า คุณยายบุญหนาล้มป่วยด้วยโรคประหลาด
เพ้อและคลุ้มคลั่งเหมือนคนไร้สติ มีอาการปวดตามเนื้อตัว ร่างกายผอมทรุดโทรม
ญาติๆและสามีนำตัวไปเข้ารับการรักษาใน รพ.ของกรมทหาร วินิจฉัยหาโรคไม่เจอ ต้องหันมาพึ่งพาการรักษาแบบไสยศาสตร์
โดยเริ่มจากหมอธรรมสำนักต่างๆ ในละแวกเมืองอุบลฯ ทั้งที่เป็นสำนักของฆราวาสและพระภิกษุ
ญาติพี่น้องทุกคนยินยอมให้เขารักษาด้วยกรรมวิธีต่างๆนานาทุกๆรูปแบบ
ทั้ง ทุบตี เตะ ต่อย เฆี่ยนตีด้วยหวาย รดด้วยน้ำมนต์ สารพัดวิธี ตามแต่วิชาคณาจารย์เหล่านั้น
แต่อาการของคุณยายบุญหนา ไม่มีท่าทีจะดีขึ้น
ซ้ำร้าย คณาจารย์ที่ลงมือรักษาคุณยาย โดนคุณไสยหรืออะไรสักอย่างในตัวคุณยายย้อนกลับไปทำร้ายเอา
หลายอาจารย์ไสยศาสตร์มีอาการสาหัสจนกลายเป็นข่าวโด่งดังในเมืองอุบลฯสมัยนั้น
ไม่มีสำนักอาจารย์ไหนยอมรักษาให้แล้ว ทิศหล่าหนังเหนียวหมดท่า หันไปพึ่งจารย์ปู่คำพุก
สมัยนั้นไม่มีรถยนต์ เดินทางด้วยเกวียน จาก อ.ตระการฯ มาบ้านสว่าง ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน
ทิศหล่าฯออกอุบายโกหกคุณยายบุญหนาว่า จะพาคุณยายไปเข้ารับการรักษาที่ รพ.กรมทหารอีก คุณยายจึงยอมขึ้นเกวียนไปแต่โดยง่าย
ถ้าบอกว่าจะพาไปรักษาตามสำนักไสยศาสตร์หรือวัดต่างๆ คุณยายไม่ยอมไป
เมื่อคุณยายยอมขึ้นบนเกวียนแล้ว ญาติๆและทิศหล่าฯ ได้ช่วยกันมัดตัวคุณยายด้วยด้ายสายสิญจน์ฯ
มัดปลายมือ ปลายเท้า ทำนองว่าป้องกันไม่ให้ สิ่งชั่วร้ายหนีออกไปก่อนจะถึงบ้านสว่าง
แม้จะมัดด้วยด้ายสายสิญจน์แล้วก็ตาม คุณยายบุญหนาก็ไม่หมดฤทธิ์ง่าย อาละวาดถีบกัด ส่งเสียงโวยวายไปตลอดทาง
พอขบวนเกวียนของทิศหล่า ฯเข้ามาใกล้บ้านสว่าง อาการคุ้มคลั่งก่นด่าผู้คนของคุณยายบุญหนาก็เริ่มสงบลง เหลือแค่เสียงพูดเบาๆในลำคอ ….
”มันบ้านหยัง สูพากูมาบ้านอีหยัง มันคือมืดมัวแท้.. กูหายใจบ่ออก กูสิตาย”
จากนั้นก็กลับลุกขึ้นอาละวาดทุบตีทิศหล่าจนหัวปูดหัวโปบวมเป่ง
พอเข้าเขตบ้านสว่างก็เลิกอาละวาด
ข่าวเรื่องคุณยายบุญหนาถูกคุณถูกของแพร่ไปทั่วหมู่บ้าน
แป๊บเดียวชาวบ้านบ้านสว่างผู้อบากรู้อยากเห็น
ต่างพากันมาชุมนุมกันที่บ้านของปู่คำพุกกันจนหมดทั้งหมู่บ้าน
คุณยายมณฑาบอกว่า
“มากันเต็มไปหมด หลั่งมาๆ จนบ่มีที่สิยืน”
หลังจากอุ้มยายบุญหนาขึ้นไปบนบ้าน ศิษย์ท่านหนึ่งของปู่คำพุก ก็ถามยายบุญหนา ว่า
“มึงเป็นไผ …..มึงมาเข้าเขาเฮ็ดหยัง มึงบ่ฮู้บ่ว่า ไผนั่งอยู่ตรงนั้น”
ยายบุญหนา มองตามมือที่ชี้ใส่จารย์ปู่คำผุก ทำกิริยามารยา ก้มหน้าหลบ เหมือนกลัว ไม่กล้ามอง
ศิษย์ท่านนั้นสำทับต่อไปว่า …..
“นั่น..ท่านนั่งอยู่ตรงนั้น มึงจะทำยังไงล่ะ”
ยายบุญหนา ตอบว่า …
“กูจะสู้กับมันแหละโว้ยย”
คุณยายมณฑาบอกว่า …. “มันจะสู้ ..มันแก่กล้า ..มันไม่กลัว”
จารย์ปู่คำพุกทำน้ำมนต์มาให้คุณยายบุญหนาดื่ม
ยายบุญหนารับขันน้ำมนต์มาดื่มหน้าตาเฉย เพราะว่าดื่มมาหลายสำนักแล้ว ไม่เป็นไร
ดื่มเสร็จอุทานเสียงหลงว่า …..
“โอ้ยยยย! เป็นหยังน้อ! บ้านนี้ กูไปที่ใดบ้านใดก็ไม่เหมือนแบบนี้ เอาอะไรมาให้กูกินหวา? กูตายบ้านนี้ละกู…”
คุณยายบุญหนาก็เริ่มเรียกหาพรรคพวกญาติพี่น้อง(บรรดาผีที่สิงอยู่ในตัวยายบุญหนา) ให้มาช่วย
“……อีจัน อีบุศดี มาช่วยกูหน่อย..กูตายแน่คราวนี้”
แล้วก็เริ่มออกปาก คือบอกว่าใครส่งตนมาทำร้ายคุณยายบุญหนา
ผู้ส่งมาคือ กำนัน(ขอสงวนชื่อ)..ความจริงแล้วเป้าหมายที่จะทำคุณไสยใส่ในครั้งนี้คือทิศหล่าหนังเ
หนียว ผู้เป็นสามีของยายบุญหนา
แสดงว่าสมญาหนังเหนียวท่านมิได้มาเพราะโชคช่วย
คงมีของดีรักษา พอตัวทีเดียว อาจเพราะเป็นศิษย์ของจารย์ปู่คำพุก
กำนันคนนั้นทำคุณไสย ใส่ทิศหล่าไม่ได้
เคราะห์ร้ายไปตกที่ คุณยายบุญหนาแทน
เรื่องนี้ยังไม่จบ
หลังจากช่วยแก้ไขคุณยายบุญหนาจนหายเป็นปกติแล้ว
จารย์ปู่คำพุกลงคาถาอาคมป้องกันไว้ให้
แต่คนที่ทำคุณไสยใส่ยังไม่เลิกจองเวร
ทำใส่ผัวใส่เมียไม่ได้ ก็หันมาทำลูกชาย
หลังจากคุณยายบุญหนาหายดีแล้ว คนที่มีอาการป่วยคล้ายๆคุณยายบุญหนากลับเป็นลูกชายของท่านแทน
ทีนี้ทิศหล่าไม่รอช้ารีบพาตัวลูกชายมาจารย์ปู่คำพุกทันที
เมื่อมาถึง..ชาวบ้านก็พากันมารุมล้อมเหมือนดูมหรสพเช่นเดิม
คราวนี้จารย์ปู่คำพุก ไม่ได้ให้เด็กน้อยดื่มน้ำมนต์ เหมือนคราวรักษายายบุญหนาจนหายแบบง่ายดาย
ท่านเอาดอกเงี่ยงปลาเข็งซัดใส่ศีรษะเด็กน้อย
(เป็นดอกไม้แบบไหนไม่เคยเห็น.. ใครรู้บ้าง)
ที่ผมบอกว่าเหมือนหนังไล่ผีของฝรั่งก็คือหนนี้เอง
ผมบนหัวเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน
เส้นผมสีขาวค่อยๆงอกออกมา จนกระทั่งขาวไปทั้งหัวต่อหน้าต่อตาทุกคนที่เข้ามาร่วมสังเกตุการณ์
ไม่เพียงเท่านั้น มีเศษกระดูกโพล่ออกมาจากผิวหนังเด็กน้อย ทั้งกระดูก ผีตายโหง เสี้ยนฟ้าผ่า กระดูกไก่ไคว่ตีนกา
ขณะที่มีอะไรผุดออกมา ห้ามแตะต้อง ถ้าใครขืนเอามือไปดึงหรือจับ มันจะขาดหลุดไปทันที
ต้องปล่อยให้มันค่อยๆผุดออกมาเอง
คนที่สอบถามเด็กน้อยคือคุณตาจันทร์ พอมีอะไร งอกและหลุดออกมาจากร่างกายเด็กน้อย จะถาม เด็กก็จะตอบโดยดี
“แม่นหยังนี่”
“ดูกผีตายโหง”
“แม่นหยั๋งนิ”
“แม่นหยังนี่”
” เสี้ยนฟ้าผ่า”
“แม่นหยังนี่”
“ว่าน ”
“แม่นหยังนี่” คุณตาจันทร์ ชี้ไปที่ท้องเด็กน้อย ด้วยเห็นว่าท้องมีอาการบวมคล้ายผู้หญิงตั้งท้อง
“ดูกไก่กวยตีนกา มันออกฮ้อน(ร้อน) แต่สิหมดแล้วล่ะ เพิ่นเป็นคนเอาเอาออก” เด็กน้อยชี้มือไปที่จารยปู่คำพุก
คุณยายมณฑาเล่าต่อไปว่า
“มันออกปาก..คือบอกหมดว่าใครเป็นคนส่งคุณไสยทำร้ายทิศหล่าอีก..มันว่า ทำร้ายทิศหล่าไม่ได้เพราะทิศหล่าหนังเหนียว ส่วนยายบุญหนาเมียมันก็มีพระนั่งอยู่บนหัว พระหนองฮีหมู”
พ่อใหญ่ทอง ศิษย์รุ่นใหญ่ของจารย์ปู่คำพุกนั่อยู่แถวนั้นด้วย จึงถามมั่งว่า
“มึงมาเข้าเด็กน้อยทำไม”
“กูสิเอามันไปอยู่ด้วย..เอาไปทำผัว”
“เอาไปอะไร ด็กน่อยหำมันก็แค่นี้ มาเอากูนี่หำใหญ่ขนาดนี้” พ่อใหญ่ทองจับแขนตัวเองชูขึ้น พร้อมกับหัวเราะ
“บ่ๆเอายังไง สักลายเต็มตัว ลายหลาย กูย่านลาย”
“ไผส่งมึงมา”
“บักกำนัน……” บอกชื่อกำนันด้วย แต่ขอสงวนไว้
“ทำไมมันจึงส่งมึงมาเฮ็ดเขาล่ะ”
“มันผิดกันทะเลาะกันเกลียดกันตั้งแต่สมัยไปอยู่เพชรบูรณ์ด้วนกันนู่น”
“เขาใช้ให้มึงมา มึงก็มามึงมา มึงไม่กลัวรึ?”
“ไม่กลัว.. จะให้กูทำไง กูกินของเขาแล้ว เขาใช้ให้มาก็ต้องมา ”
“เขาเอาอะไรเลี้ยงมึง”
“ลาบควาย”
“มึงเป็นผีมึงมีวิธีกินอย่างไร?”
“กินไอ กินกลิ่น ยามที่คนสัมผัสอาหารนั่นแหละโว้ย”
หลังจากนั้น ผีในร่างเด็กน้อยเริ่มร้องให้ เรียกหาญาติมิตรพรรคพวกของตนมาช่วยเหมือนตอนรักษาคุณยายบุญหนาผู้เป็นแม่
สุดท้ายก็หายเป็นปกติ