พระทหาร

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา

เรื่องธรรมดานี้ยากที่ใครจะเลี่ยงพ้น หรือไม่มีทางเลี่ยงไปได้

อริยบุคคลชั้นอรหันต์เท่านั้นที่เลี่ยงตายได้อย่างแน่นอน
คือไม่เกิดอีกแล้ว
เมื่อไม่เกิดก็ย่อมไม่ตาย
แต่ว่าในชาตินี้ต้องตายเสียก่อนตามระเบียบ
จากนั้นจะไม่มีชาติหน้าให้มาเกิดเพื่อเผชิญหน้ากับความตายอีกต่อไป

ใครที่ร้องไห้ในคราวที่ความตายปรากฏเห็นจะต้องคิดใหม่ทำใหม่
โดยร้องไห้ขณะที่มีการเกิด
จะพอทำได้ไหม

ในที่สุดเอลวิสเอเชียหรือ วิสูตร ตุงคะรัตน์ ของผมก็ถึงคราวจากไป จะเสียใจเสียดายขนาดไหน น้าวิสูตรก็ไปแล้ว

วันเช็งเม้งเอลวิสที่เชียงใหม่ของบรรดาญาติเพลงของเอลวิส ในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ เห็นจะเหงาไปถนัด

ขาดน้าวิสูตรไปคนหนึ่งคงวังเวงไปบ้างเหมือนกัน

เกี่ยวกับน้าวิสูตรนี้มีเรื่องดีๆที่จะต้องพูดถึงอยู่บ้างอย่างน้อยก็เรื่องหนึ่ง 
เรื่องนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อน
ตอนนั้น “บักไบรอัน” ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยในลอสแองเจลิสมาเที่ยวเมืองไทย
และผมเป็นไกด์ให้มันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าผมจะเขม่นมันอยู่ไม่น้อยก็ตาม

ไบรอันเป็นฝรั่งแมนฮัตตัน สำเนียงพูดของคนแมนฮัตตันนั้นเขาถือว่าเป็นสำเนียงที่ถูกต้องในทำนองว่า เป็นสำเนียงผู้ดีอะไรเทือกนั้นแหละครับ
ตัวมันเองเลยดูออกจะเบ่งๆขี้เต๊ะ เกือบๆจะเข้าข่ายเป็นคนถือตัว และสามารถจะดูถูกคนอื่นได้ถ้ามีโอกาส

ค่ำวันหนึ่งพามันไปดินเนอร์ที่เบียร์สิงห์เฮ้าส์ตรงซอยอโศก ซึ่งเวลานั้นมีวงดนตรีและก็มีน้าวิสูตรร่วมโชว์การแสดงอยู่ด้วย
แต่อีตอนที่เข้าไปนั้นยังเป็นทีแรกอยู่ครับ น้าวิสูตรยังไม่ขึ้นเวที คงเป็นแต่นักดนตรี 4-5 คนทำหน้าที่ไปพลางๆก่อน
โดยโชว์เพลงฝรั่งเป็นหลัก สารพัดแนวเพลงตามอัธยาศัย เพื่อรอเวลาที่น้าวิสูตรจะขึ้นเวที มาเขย่าลำแข้งและลูกคอแบบเอลวิส ซึ่งถือว่าเป็นโชว์เอกของวงนี้

ไบรอันก็เริ่มออกลาย

มันฟังเพลงไปวิจารณ์ไป แถมหัวเราะขบขันออกอาการดูถูกนักร้องของวงนั้นว่าเหมือนเจ๊กร้องเพลงฝรั่ง
ทั้งยังออกความคิดว่าในเมื่อเป็นคนไทยทำไมไม่ร้องเพลงไทย ดัดจริตมาร้องเพลงฝรั่งที่พอมันได้ฟังแล้วขำกลิ้งไปกลิ้งมา

ผมก็ได้แต่ฟังมันพล่ามอย่างอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด

ต้องเข้าใจนะครับว่าผมไม่ลุกขึ้นถีบมันสักพลั่กหนึ่งนั้น ย่อมหมายความว่าผมมีความอดทนอดกลั้นสูงอย่างน่านับถือตนเองขนาดไหน

“อำพล ยูฟังซิเค้าร้องออกเสียงตัวแอลเป็นตัวเอ็นได้ยังไง ต้องกระดกลิ้นม้วนห่อแบบขนมทองม้วนขึ้นไปหาเพดานปากนะ…อ้าวๆ ประโยคนี้เพี้ยนแบบสุดๆไปเลย…อุ๊ยตายศัพท์ตัวนั้นเค้าออกเสียง จนมันกลายเป็นศัพท์กระเหรี่ยงดาวน์ทาวน์ไปแล้ว…ว๊าย นี่พวกเค้าเป็นนักดำน้ำด้วยเหรอ…” (ความจริงไม่ได้พูดแบบนี้หรอก ผมใส่สีตีไข่ให้มันน่าหมั่นไส้ยิ่งขึ้น)

นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆที่บักไบรอันมันพร่ำ
คิดเอาแล้วกันว่าผมจะมีความสุขไหมในเวลานั้น

ตานี้ถึงตอนที่น้าวิสูตรขึ้นเวทีแล้วล่ะครับ 
น้าแกแต่งตัวเป็นเอลวิสเป๊ะ 
คงนึกออกนะครับเอลวิสแต่งตัวยังไง 
บักไบรอันก็เริ่มหัวเราะอีกแล้ว 
ผมก็เริ่มกัดกรามกรอดๆ

พอน้าวิสูตรคว้ากีต้าร์มาเท่านั้น และเริ่มร้องเพลงเอลวิสออกมาเท่านี้ คนทั้งร้านก็หันมามองน้าเป็นตาเดียวเท่าโน้น

บักไบรอันถึงเงียบกริบ
นิ่งอึ้งเงียบงันเป็นผีสามบาทกำลังอำ
เอลวิสมาโผล่ตรงหน้าเราเข้าแล้วจริงๆ สะกดเอาบักไบรอันพูดพล่อยๆไม่ออกแม้แต่คำเดียว
พอเพลงแรกจบมันก็ปรบมือและหลังจากนั้นมันก็ปรบมือทุกครั้งที่เพลงจบตลอดไป

นี่แหละครับที่ผมอยากพูดถึงน้าวิสูตร ตุงคะรัตน์

ได้พูดแล้วก็รู้สึกทันทีว่าเหมือนกับได้ทำอะไรสักอย่างเสร็จแล้ว

หวังว่านี่จะเป็นการเชิดชูเกียรติของวิสูตร ตุงคะรัตน์ หรือเอลวิสเอเชียได้ส่วนหนึ่ง และคงทำให้เอลวิสที่เหลือยังมีกำลังใจสืบสานงานช็งเม้งเอลวิสสืบไป

ทำให้เพลงของเอลวิสมีชีวิตชีวา เผื่อให้คนรุ่นโน้นพลอยรู้สึกว่ายังมีชีวิตที่มีชีวาอยู่อย่างแน่ใจได้
ให้เขาพากันพูดว่า เอวิสยังไม่ตาย แบบคล้ายๆสวนทางสัจธรรม ทำงานเพลงให้มีคุณภาพจริงๆด้วย เหมือนอย่างที่น้าวิสูตรเคยทำไว้

ร้องไห้มันฟังชัดๆโดยที่ฝรั่งแบบบักไบรอันก็หุบปากจัดจ้านได้สนิทนี้
เห็นจะพอวางใจได้กับเอลวิสอิกคนหนึ่ง
คือน้า กวี ทองปรีชา
ซึ่งน้าท่านไปสะกดฝรั่งถึงเมืองอเมริกาจนอยู่หมัดมาแล้ว
ไปคว้ารางวัลชนะเลิศประกวดเพลงเอลวิสที่โน่น
ชนะฝรั่งแท้ๆนะครับ

ผมก็พลาดเช็งเม้งเอลวิสมา 3 ปีแล้ว ไม่รู้ว่าเดือนหน้านี้จะพลาดอีกหรือไม่
เวลาไปที่เชียงใหม่ในโอกาสนั้นมักได้โอกาสเก็บพระจากที่นั่นด้วย
และยังเอาพระไปแจกจนเป็นธรรมเนียมทุกครั้ง
ถ้าปีนี้ได้ไปคงจะได้สำรวจทางขึ้นสวรรค์มาฝากกันอย่างคราวโน้น
ไปเห็นมาแล้วที่พระธาตุดอยตุง สวยจนบอกไม่ถูก
คือยืนมองออกไปตรงเวิ้งเขาเหนือหน้าผาที่ระเบียงองค์พระธาตุตอนหน้าฝน
รู้สึกเลยว่าถ้าใครตายแล้วจะต้องขึ้นสวรรค์คงจะมาขึ้นอยู่ตรงนี้

หมดเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเสียที
เลี้ยวกลับขึ้นบนเส้นทางพระเครื่องต่อไป

เรื่องพระเครื่องกับเอลวิสนี่มันคนละอารมณความรู้สึก หักอารมณ์แบบดิบๆ มาอีกเรื่องหนึ่งทันทีก็ทำอารมณ์ให้มันทันกัน

เอาควันหลงจากตอนที่แล้วเสียนิดหน่อย คือเรื่องพระเครื่องชุดสร้างโรงพยาบาลค่ายอดิสร ที่มีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธานจัดสร้างเมื่อปี 2514 
ที่เรียกกันว่าขนนกสระบุรี ซึ่งได้เล่าไปในตอนที่แล้วว่า คนถูกยิง 3 นัดไม่เป็นอะไร 
ก็จะอธิบายเพิ่มเติมว่า พระชุดนี้มีอะไรบ้าง เพราะผู้อ่านส่วนหนึ่งสนใจสอบถามไปมากโข จะทำเฉยก็จะผิดธรรมเนียม

พระเครื่องชุดนี้สร้างขึ้นทั้งหมด 4 แบบครับผม(ไม่นับพระบูชา)
1. พระกริ่ง พุทธลักษณะคล้ายกับพระกริ่งจอมสุรินทร์ ค่อนข้างหายาก
2. พระชัยวัฒน์
3. พระขนนก
4. เหรียญพระเจ้าตากสินมหาราช

20120217019webab

6350990147343900001

6360108293450600001

6355052940254000001

6kd97

kbyzr

ทั้ง 4 แบบนี้ดูเหมือนขนนกสระบุรีที่ลงรูปเมื่อตอนที่แล้วจะหาได้ง่ายกว่าทุกแบบ นอกนั้นหายากแบบพอฟัดพอเหวี่ยงกัน

เหรียญพระเจ้าตากสินมหาราชก็ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก บางท่านเห็นแล้วไม่เข้าใจหรอกว่าเป็นพระพิธีเดียวกัน
ผมเก็บครบทุกพิมพ์ ไม่เลือกว่าจะต้องเก็บพิมพ์ไหนเพียงอย่างเดียว ผมถือว่าดีหมด เวลาแจกใครแล้วอุ่นใจได้ว่าคุ้มครองเขาไหวแน่

แถมเป็นพระเครื่องที่ราคายังไม่แพง

ถ้าเป็นขนนกเนื้อทองแดงก็ราวๆ 300 บาท
เนื้อนวโลหะคงสัก 1,200 บาท
และเนื้อเงินก็ 2,500 บาท
ทองคำแพงขึ้นหน่อยน่าจะประมาณ 20,000 บาท

พระชัยวัฒน์ค่อนข้างแพงราคาพอๆกับขนนกเนื้อเงิน
พระกริ่งครึ่งหมื่นเห็นจะได้
เว้นแต่พระกริ่งเนื้อทองคำที่ผมเพิ่งได้มาเมื่อปีที่แล้วครึ่งแสน

แต่สำหรับเหรียญพระเจ้าตากสินมหาราช ราคาไม่แพงเกินพระขนนกหรอกครับ
ยิ่งถ้าใครไม่รู้จักอาจได้มาในราคาถูกมากๆ
และจะว่าไปจริงๆแล้วก็แทบไม่มีใครรู้จักมักจี่สักเท่าไหร่ ก็เลยเอารูปมาลงไว้ให้ดูเผื่อเห็นที่ไหนจะได้ไม่ปล่อยให้หลุดมือ

รับประกันมาตรฐาน ไอเอสโอ9002 ว่าดีแน่นอนอย่างแท้จริง
เก็บเถอะครับ

พระดีขนาดนี้หาไม่ง่าย ดูแค่องค์ปลุกเสกก็ทำโลภอยากได้พลุ่งพล่านเสียแล้ว

หลวงปู่โต๊ะ, หลวงพ่อเงิน, หลวงพ่อแช่ม, หลวงพ่อมุ่ย, หลวงพ่อชา, หลวงปู่ฝั้น, หลวงปู่ดูลย์ ฯลฯ
อีกห้าหกสิบองค์ที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ

เหตุที่พระชุดนี้หายาก เพราะไปอยู่กับทหารเป็นส่วนใหญ่ ฟังแล้วน่าจะเป็นไปได้
เพราะถ้าแขวนพระชุดนี้เข้าแล้วบางทีถูกถามว่าเป็นลูกทหารหรือเปล่าก็มี

จะถือว่าเป็นพระทหารก็ได้ว่างั้นเถอะ
จะหายากหาง่ายไม่สำคัญ ลงคิดอยากจะได้แล้วต้องได้ทุกคนซีน่า
เพราะมันไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย
จริงๆแล้วถ้าจะว่าไปก็เพราะมีเรื่องเหลือวิสัยเกิดขึ้นนี่แหละถึงได้ดิ้นรนค้นหา
จึงบอกมาเพื่อว่าจะได้รู้จักของดีที่มีอยู่

ผมไม่ได้โม้

………………………………………………………

ข้อเขียนของ อำพล เจน ตีพิมพ์ใน นิตยสารเส้นทางพระเครื่อง ปีที่ 2 ฉบับที่ 21 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2545

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน