คนหากินกับผี

คนหากินกับผี 

….คนรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เคยได้ทราบประวัติความเป็นมาของท่าน พ.อ ปิ่น มุทุกันต์ ว่าท่านมีความเป็นมาอย่างไร ผมขออนุญาตเล่าเพียงย่อๆ สั้นๆ แค่พอเข้าใจ

ท่านเคยบวชเป็นสามเณรน้อย อุปัฏฐากหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ในสมัยที่ท่านพักจำพรรษาที่วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนที่จะออกท่องเที่ยวธุดงค์ติดตามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต…หลวงปู่ดูลย์ ท่านมองเห็นแววสามเณรรูปนี้สมควรสนับสนุนให้มีความก้าวหน้า จึงนำไปฝากไว้กับมหาเฉย ยโส สามเณรปิ่นมีความก้าวหน้าในทางปริยัติจนได้เปรียญ 7 ประโยค แล้วสึกออกไปรับราชการเป็นอนุศาสนาจารย์ในกองทัพบก ได้รับเลื่อนยศเป็นพันเอก. แล้วได้ย้ายมาอยู่กระทรวงศึกษาธิการ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอธิการบดีกรมการศาสนา ท่านเป็นคนชอบคิดชอบเขียน และเป็นนักปาฐกถาฝีปากดี เป็นนักเผยแพร่ธรรมะชื่อดัง มีผลงานการเขียนมากมายในสมัยนั้น อีกหนึ่งเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้…..

ท่านได้บันทึกไว้ว่า เมื่อประชาชนเชื่อผีบูชาผี ก็ต้องมีบุคคลที่จัดการหรือให้บริการเกี่ยวข้องกับผี เช่น เป็นสื่อกลางระหว่างคนกับผี ประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับผี, อัญเชิญผี, เลี้ยงผี, ปราบผี, และวิญญาณที่ชั่วร้าย เป็นต้น และเรื่องราวที่ผมจะเขียนนี้เป็นเรื่องพิธีการจับผีเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำกันในสมัยนั้น…..

ท่านได้เล่าเอาไว้ว่า. ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็กหนุ่มน้อย มีคนทำตัวเป็นผู้วิเศษ มารับจ้างจับผีออกจากบ้าน และคนที่ผีมันเข้าสิงสู่แล้วไม่ยอมออกจึงหาทางจัดการฆ่าให้มันตาย เผาให้มันวอดวายตายทั้งโคตรผี. วิธีที่หมอผีทำก็คือ เขานำหม้อดินเท่ากับหม้อหุงข้าว กินสองคนอิ่มหรือโตกว่าเล็กกว่าได้เท่านั้น ในหม้อดังกล่าวใส่ข้าวเหนียวเอาไว้หลายก้อน ปั้นให้โตหน่อย จากนั้นก็เอาผ้าขาวปิดปากหม้อไว้ โดยมีสายสิญจน์วางรอบบริเวณตั้งหม้อ ห้ามคนเข้าไปในวงสายสิญจน์เป็นอันขาด จากนั้นก็ทำพิธีเรียกผีออกมาจากหลุมใต้พื้นดินบ้าง, บนหลังคาบ้านบ้าง, ตามมุมรั้วมุมเรือนบ้าง, เมื่อต้อนผีเข้ามาแล้ว ก็จับผีลงหม้อ ผีบางตนมันไม่ยอมก็ต้องปลุกปล้ำกันล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะจับลงหม้อได้…..

เมื่อจับผีลงหม้อแล้ว หมอผีก็ประกาศลั่นอย่างยิ่งใหญ่ว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวพวกผีอีกแล้ว ข้าจับพวกมันลงหม้อหมดทุกตน ต่อไปข้าจะจัดการกับมันอย่างไรดีเผามันดีไหม ให้มันตายไปทั้งโคตร ข้าจะจัดการมันด้วยน้ำมนต์วิเศษ” พวกชาวบ้านขี้สงสารมีเมตตาสูงก็จะบอกว่า อย่าไปทำเขาเลยปล่อยเขาไปเถอะนะ! เอาแค่สั่งสอนให้เข็ดหลาบก็พอแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบหน้าผีก็จะพูดว่าหมอจะนำมันไปต้มยำทำแกงอะไรก็เอาเถอะ หรือจะเผามันทั้งโคตรก็ดีเหมือนกัน…..

“ ข้าจะจัดการกับมันไม่ให้เหลือซาก “…จากนั้นหมอผีก็ยกขันน้ำมนต์เทลงไปในหม้อดินที่ขังผี ครู่หนึ่งก็เอาหูแนบฟังก็จะมีเสียงผีตะกายข้างหม้อดินเสียงดังกุกกักๆๆ เหมือนมีสิ่งมีชีวิตถูกขังอยู่ในหม้อกำลังปีนหาทางหนี “เอ้า..! มาตะแคงหูฟังกันดู ตอนนี้พวกผีมันกำลังโดนน้ำมนต์ดิ้นตาย และหาทางออกจากหม้อกัน”…..

ทุกคนต่างเอาหูแนบปากหม้อดิน ถึงกับตาลุกวาวด้วยความตกตะลึง เมื่อได้ยืนเสียงเดินของผีในหม้อดินกุกกักไปทั่ว รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยได้เอาหูแนบหม้อดินใบนั้น เมื่อฟังกันทุกคนแล้วหมอผีผู้ขมังเวทก็ประกาศว่า “ต่อไปข้าจะทำพิธีเผาผีให้มันตายไปทั้งหมด” จากนั้นก็ยกหม้อขึ้นตั้งบนกองไฟที่สุมไว้รอแล้ว เมื่อเอาหม้อตั้งลงแล้วก็ช่วยกันเอาฟืนมาโยนใส่กองไฟอย่างไม่มีความปรานี ไฟลุกท่วมเผาผีในหม้อนานพอสมควรกระทั่งไฟดับลงแล้ว แกก็ให้พวกชาวบ้านไปดูกระดูกผีในหม้อ ประหลาดอะไรอย่างนั้นในหม้อใบนั้นนอกจากข้าวเหนียวปั้นกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว ยังมีกระดูกชิ้นเล็กๆอยู่มากมาย “เห็นไหมกระดูกที่เห็นนี้เป็นกระดูกผี”…..

คนในหมู่บ้านต่างก็พากันเชื่อว่าหมอผีคนนี้เก่งจริงๆ สามารถจับผีลงหม้อเผาได้ บ้านหลังโน้น หลังนี้ต่างก็ทำพิธีไล่ผีกันเกือบทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งหมู่บ้านอื่นๆ หมอผีกลุ่มนี้ทำพิธีจัดการกับผีอยู่แถบถิ่นนี้มาเป็นเวลานานพอสมควร. ได้ทั้งชื่อเสียง ความศรัทธาและทรัพย์สินอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องทำนา, ปลาไม่ต้องหา, ยึดอาชีพไล่ผีเพียงอย่างเดียวก็สบาย ได้เงินจากการรับจ้างไล่ผีเป็นกอบเป็นกำ ไปที่ไหนมีแต่คนยกมือไหว้ ในฐานะหมอผีผู้มีมนต์คาถาอาคมขลัง นอกจากได้เงินแล้ว ชาวบ้านยังเป็นหนี้บุญคุณอีก…

ในขณะเดียวกันหนุ่มน้อยปิ่นเกิดมีความรู้สึกสงสัยพวกหมอผีเหล่านี้ จึงคอยจับตาดูพฤติกรรมมาโดยตลอด เพราะไม่ค่อยจะเชื่อว่าพวกเขาจะจับผีมาเผาได้จริงๆ ผีมันเป็นวิญญาณจะมีกระดูกในหม้อนั้นได้อย่างไรมันพิกลอยู่ จึงหาทางคอยจับผิด แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งขณะที่หมอผีกำลังไล่จับผีในบ้านหลังหนึ่ง หมอผีบอกกับเจ้าของบ้านว่า ผีตนนี้มันดื้อมากมันไม่ยอมให้จับลงหม้อง่ายๆ ต้องออกกำลังไล่ตะครุบใช้เวลานาน พวกหมอผีไล่จับผีไกลไปจากหม้อสำหรับขังพวกวิญญาณมากพอสมควร หนุ่มน้อยผู้คอยหาจังหวะพิสูจน์เงียบๆ พอพวกหมอผีไล่จับผีไกลออกไป ก็รีบเข้าไปที่หม้อขังผีทันที แล้วก็ค่อยๆเปิดผ้ายันต์ปิดปากหม้อออกมาดู เห็นข้าวเหนียวปั้น 2-3 ปั้นจึงบิออกมาดู “โธ่..! เวรกรรมพวกหมอผีเจ้าเล่ห์เอาปูเป็นๆ ใส่ไว้ในปั้นข้าวเหนียว”. ด้วยจุดประสงค์ต้องการแสดงให้ผู้จ้างมาจับผีเห็นว่าตนเองจับผีขังไว้ในหม้อจริงๆ เมื่อโดนน้ำมนต์พวกผีจะดิ้นตายหาทางออกจากหม้อ ก็แน่ละ ! ข้าวเหนียวเมื่อเจอนํ้าก็ละลายออก พวกปูที่อยู่ในปั้นข้าวเหนียวก็พากันได้รับอิสระ แล้วพากันออกมาไต่หาทางปีนตามข้างๆหม้อดังกุกกักๆๆ…..

พวกชาวบ้านที่เอาหูแนบฟังเสียงผีเดินอยู่ในหม้อก็พากันขนลุกขนพอง คิดกันไปว่าเป็นเสียงของผีเดิน…จริงๆเป็นอย่างนี้นี่เอง เดี๋ยวก็ได้รู้ คราวนี้แกหากินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะไม่มีผีเดิน ไม่มีกระดูกผีให้เห็น เพราะตนเอาปูทั้งหมดออกมาแล้วนั่นเอง. หนุ่มน้อยคิดหลังจากเอาผ้ายันต์ปิดเอาไว้เหมือนเดิม. “หน้าแตกแน่มึงเอ๋ยไอ้หมอผีเจ้าเล่ห์”. จากนั้นก็ไปหลบคอยแอบดูพฤติกรรมของพวกหมอผีปลอมต่อไป ว่ามันจะทำอย่างไร เมื่อพวกหมอผีไล่จับผีมาลงหม้อแล้ว ก็ประกาศเสียงดังอย่างมั่นอกมั่นใจว่า. “บรรดาผีหัวดื้อในบ้านหลังนี้ ข้าไล่จับพวกมันลงหม้อหมดแล้ว เดี๋ยวจะให้ท่านทั้งหลายที่มาชุมนุมดูอยู่นี่ได้ฟังเสียงพวกผีเดินในหม้อดิน เมื่อข้าเทน้ำมนต์วิเศษนี้ลงไป ไม่นานดอกพวกมันจะพากันดิ้นพล่านๆหาทางหนี”. หมอผียกขันน้ำมนต์เทลงไปประมาณหนึ่ง แล้วปล่อยทิ้งไว้ไม่นาน มันก็เอาหูแนบฟังเสียงเดินของผีดูก่อน คราวนี้หมอผีทำสีหน้าไม่ค่อยจะดี เพราะไม่ได้ยินเสียงผีเดินแม้แต่ตนเดียว จับหม้อดินเขย่าไปมาเอาหูแนบฟังอีก…..

เงียบ..! และเงียบไม่มีผีเดิน..! หมอผีผู้เป็นหัวหน้าหันมามองพรรคพวก ทำนองว่าพวกผีในหม้อมันไม่เดินสงสัยตายหมดอะไรทำนองนั้น. “วันนี้ข้าทำน้ำมนต์แรงไปผีมันเป็นง่อยหมด แต่ไม่เป็นไรข้าจะเผามันเดี๋ยวนี้”. หมอผีสั่งลูกน้องยกหม้อขังผีไปวางบนกองไฟอย่างเคย พร้อมเอาฟืนสุมจนไฟลุกโชติช่วง นานพอสมควรแล้วไฟก็มอดลง. “พวกเรามาดูกันผีพวกนี้มันเหลือแต่กระดูกแล้ว”…..

“ไม่ต้องดูกระดูกผีกันดอกพี่น้อง เพราะวันนี้กระดูกผีในหม้อนั้นไม่มีแล้ว เพราะพวกผีในหม้อมันมาอยู่ในกระเป๋าของผมหมดแล้ว…นี่ไงผีของพวกแก”…..

หนุ่มน้อยหัวไวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง จับปูออกมาโชว์ให้พวกชาวบ้านดู จึงรู้ว่าโดนหมอผีปลอมต้มจนเปื่อยกันทั้งหมู่บ้าน พวกหมอผีหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งพอได้สติก็รีบพากันเผ่นหนีการประชาทัณฑ์อย่างไม่คิดชีวิต…..

พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ เล่าไปหัวเราะไปในความเชื่ออะไรง่ายๆ ของชาวบ้านในสมัยเมื่อเกือบร้อยปีเขามีพิธีไล่จับผีตามหมู่บ้านต่างๆ ในชนบททางภาคอีสานเกือบจะทุกจังหวัด เพราะยุคนั้นหมู่บ้านต่างๆ อยู่กลางป่ากลางเขาพวกผีป่าจะชอบออกมาอาละวาด ทำให้อาชีพคนที่เป็นหมอผีมีวิชาอาคมแก่กล้าทำมาหากินกันคล่อง มีงานไล่ผีจับผีไม่เว้นในแต่ละวัน เงินดีชื่อเสียงดีมีคนนับถือไปทั่วทั้งตำบล, อำเภอ, จังหวัด, เพราะอาชีพหมอผีหาเงินง่าย รายได้ดีจึงเกิดมีหมอผีปลอมขึ้นมา…..

ฟังท่านอดีตอธิบดีกรมการศาสนาเล่าเรื่องผีปลอมในอดีต ก็คงจะทำให้คนไทยหลายๆคนที่เชื่ออะไรง่ายๆได้คิดกันบ้าง เชื่ออะไรก็อย่าให้ถึงงมงายให้ใช้สติปัญญาตรองและกรองให้ดี ยิ่งคนสมัยนี้ใช้วิธีการทำมาหากินกับการทรงผี, ทรงเจ้าเป็นอาชีพมากมาย เพราะเงินดีหากินกับพวกเศรษฐีจนร่ำรวย นั่งรถหรูมีบ้านอยู่ราคาเป็นล้านๆ…หมอผี หมอไสยศาสตร์ยุคนี้ยกระดับการทำมาหากินของตัวเองกับคนรวยกันแล้ว คนพวกนี้เชื่อง่ายขอให้ทำนายถูกใจ. ยิ่งถ้าได้ออกสื่อทีวีในรายการต่างๆ แล้วละก็รับรองได้มีคิวยาวจองกันข้ามปีเลยทีเดียว ขนาดหมอดูอย่างที่ประเทศพม่าเขานั่งหลับตาแป๊บเดียว พูดไม่กี่ประโยค ไม่กี่คำ…เงินไทยไหลเข้ากระเป๋าเป็นล้านๆ จะว่าเขาหลอกไม่ได้ ทายผิดทายถูกไม่ว่าเขา…..เพราะเราไปหาเขาเอง.

cr : Jid Phanthuwong

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน