กะเทยบวชได้หรือไม่
ปวดหัวกับเรื่องตีความ
พระวินัยห้ามบัณเฑาะก์บวช
ก็จะตีความว่าบัณเฑาะก์คือคนที่มีอวัยวะ ๒ เพศ
คนกะเทยก็เถียงว่าพวกตนไม่มีอวัยวะ ๒ เพศ
ย่อมบวชได้
ไม่ผิดพระวินัย
โดยที่จะไม่ยอมตีความไปที่เป็นคนมีจิตใจวิปริตสองเพศและมีการล่วงละเมิดทางเพศกับเพศเดียวกัน
—
ระหว่างการสวดอันตรยิกธรรม
ขณะทำการอุปสมบท
มีคำถามว่า “ปุริโสสิ?”
แปลว่า ท่านเป็นบุรุษหรือไม่?
คำถามนี้ถามถึงเรื่องการมีอวัยวะ ๒ เพศเท่านั้นหรือ?
—
บัณเฑาะก์ แปลว่า กะเทย
ยังใช้เรียกผู้หญิงได้ด้วยว่า หญิงบัณเฑาะก์
บางทีสมัยนั้นยังไม่มีการบัญญัติศัพท์เรียกเลสเบี้ยนว่าอะไร
กะเทยหรือที่เรียกว่าชายบัณเฑาะก์ คือผู้ที่พอใจให้บุรุษเกี่ยวข้องกับตนโดยมีความรู้สึกตนว่าเป็นเหมือนเป็นสตรี
—
อุภโตพยัญชนก เท่านั้นที่แปลว่า คนมีทั้ง ๒ เพศ
—
มีการแบ่งแยกบัณเฑาะก์ออกได้ ๕ จำพวก
๑ อาสิตตบัณเฑาะก์ ได้แก่ ชายที่มีกิจกรรมทางเพศกับชายด้วยกัน
๒ อุสุยยบัณเฑาะก์ ได้แก่ ชายที่ไม่ถึงกับมีกิจกรรมทางเพศ แต่เพียงแค่พอใจที่จะชมชอบชายด้วยกัน
๓ โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ได้แก่ บุคคลผู้ที่ถูกตอนไปแล้ว เช่นขันที
๔ ปักขบัณเฑาะก์ ได้แก่ บุคคลบางคนข้างแรมเกิดความกำหนัด
ยินดีกระวนกระวายด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม เมื่อถึงข้างขึ้น ความกระวนกระวายนั้นก็หายไป
๕ นปุงสกับบัณเฑาะก์ ได้แก่ ผู้ที่ไม่มีเพศหญิงเพศชายไม่ปรากฏทั้ง ๒ เพศ มีแต่ช่องที่สำหรับถ่ายปัสสาวะเท่านั้น
—
โอปักกมิยบัณเฑาะก์ กับ นปุงสกับบัณเฑาะก์ ห้ามบวช
—
อาสิตตบัณเฑาะก์ และ อุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ถูกห้ามบวช
ปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบวชให้ระหว่างเวลาที่ถึงกาลมีกำหนัดราคะเกิดขึ้น ถ้าเป็นเวลาที่จิตใจสงบระงับจากความปรารถนากามราคะต่อเพศเดียวกัน สามารถบวชให้ได้
บัณเฑาะก์ ๓ พวกนี้ ยังพอมีทางที่จะปฏิบัติจนหลุดพ้นจากบ่วงผูกมัดตนในการหลงใหลในเพศเดียวกัน
—
ด้วยความเห็นส่วนตัว ยังเชื่อว่าผู้มีราคะแก่กล้า ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นนั่นคืออันตรายต่อผ้าเหลืองเป็นอย่างยิ่ง
ข้อห้ามระหว่างพระกับสีกานั้นมี
ข้อห้ามระหว่างพระกับบุรุษด้วยกันไม่มี
ถ้ากะเทยไม่ถูกพระวินัยห้าม
จะช้าจะเร็ว
อะไรก็เกิดวิปริตขึ้นได้
หากธรรมะไม่มีพลังพอที่ข่มขาดปรารถนาราคะต่อชายด้วยกันให้สะบั้นลงไป
—
จริงๆแล้วการอนุญาตกะเทยบวชก็พอเป็นเหตุเป็นผลได้เช่นกัน
แต่ทำไมไม่มีพระวินัยบังคับกะเทยหลังบวชเป็นพระแล้วว่าจะต้องวางตัวอย่างไรในสังคมผ้าเหลือง
พระกับชียังมีข้อบังคับ ทั้งห้ามและอนุญาต ให้วางตัวได้อย่างไรแบบไหน
—-
ทั้งกะเทยและบุรุษแท้ต่างก็มีกิเลศราคะเหมือนกัน
บุรุษแท้มีราคะกับสตรีแท้
กะเทยมีราคะกับบุรุษเพศเดียวกัน
คนทั้ง ๒ ชนิดนี้มีราคาเท่ากัน
ต่างต้องลงมือปฏิบัติขจัดราคะด้วยกันเช่นกัน
—-
จะว่าไปแล้วการบวชเพื่อปฏิบัติธรรมนั้น สามารถทำได้หลายระดับ
บวชชี บวชผ้าขาว หรือบวชใจเป็นฆราวาสรักษาศีลปฏิบัติธรรม ทุกคนทำได้ไม่มีข้อห้าม
แต่บวชเพื่อห่มผ้าเหลืองนั้นกะเทยไม่ควรทำ
—
พระกับสีกามีพระวินัยห้ามมากหลายข้อ
ยังเรียกว่ามีข้อบังคับช่วยป้องปรามไว้ไม่เกิดการกระทำผิดทางกามราคะทางกาย ระหว่างพระ(บุรุษ)กับสีกา(ผู้หญิง)
แต่พระกับบรุษด้วยกันไม่มีวินัยห้าม
คนเป็นกะเทยเมื่อไม่มีข้อบังคับป้องปรามกระทำผิดทางกามราคะทางกาย เพียงเพราะตีความว่าเป็นคนเพศเดียวกัน คือเป็นบุรุษ
ก็เท่ากับเปิดช่องทางให้โอกาสกระทำผิดทางกามราคะเกิดขึ้นได้ง่ายเกินไป
อย่างนี้ไม่ถูกต้องแน่
—
ต้องตรวจดูพระวินัยหมวดอื่นๆข้ออื่นๆประกอบการพิจารณาเรื่องกะเทย
—
ฝากปราชญ์ผู้รู้วินิจฉัยและวิจารณ์ต่อไป
—
อย่างน้อยก็จะถือเอา ม. 44 ในทางพระวินัย คือ”โลกวัชชะ” มาลองใช้ดู
ถ้าสังคมติเตียนว่าไม่ดีไม่ถูกต้องก็ควรให้เลิก
เว้นแต่สังคมในวันนี้ไม่ถือสาหาความกะเทยบวชพระก็แล้วไป