เหรียญหนุนดวง หลวงพ่ออุตตมะ ปี 2538
เหรียญแทนตัวหลวงพ่ออุตตมะ
อำพล เจน บันทึกจากคำบอกเล่าของ อภิรักษ์ จุฬาสินนท์
ถึงแม้จะไม่ชอบดูหมอ
แต่ท่านอาจารย์เบิ้ม (สุวัฒน์ พบร่มเย็น)ได้ลงมือผูกดวงชาตาของผม เก็บไว้กับตัวท่าน มานานหลายสิบปีแล้ว
ถึงคราวมีอะไรไม่ค่อยดีท่านมักจะบอกจะเตือนเสมอ
เมื่อเร็วๆนี้ก็เตือนว่า
ผมกำลังถูกอะไรสักอย่าง(ลืม)เข้ามาทับลัคน์
ซึ่งจะทับอยู่นาน ๓ ปี
จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย
แล้วก็ยังจะมีเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายแค่ไหนก็ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์เพียงบอกเป็นเลาๆรางๆ
ไม่บอกตรงๆชัดๆ
ผมก็ไม่ได้ซักไม่ได้ถาม
สุดท้ายท่านย้ำเตือนว่า สิ่งที่ผมต้องระวังให้ดีนั้นคือ “ลม”
ไม่รู้ “ลม” อะไร
นึกแต่ว่าบางทีจะเป็นลมพายุพัดบ้านช่องห้องหับพังเค้เก้ไปโน่น
ในที่สุดพยากรณ์นี้ก็เกิดขึ้นจนได้
อย่างแรกคือ.. เมื่อ ๒ เดือนกว่ามาแล้ว ผมมีอันจำเป็นต้องได้ย้ายออกจากช่องเม็กมาอยู่วารินชำราบพร้อมกันหมดทั้งครอบครัว
อย่างที่สอง..ผมวูบเป็น”ลม”เกือบตายไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหมาดๆนี้เอง
จะว่าไป..เรื่องทำนายทายทักแม่นยำนั้น ยังไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอาจารย์เบิ้มก็ทายแม่นเป็นปกติธรรมดามาตลอดอยู่แล้ว
เรื่องแปลกเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีอันวูบเกือบตายไปแค่วันเดียวนี่เอง
นั่นคือคุณอภิรักษ์ได้โผล่มาเยี่ยมเยียนถึงบ้านในวันรุ่งขึ้นพลัน
จริงๆแล้วคุณอภิรักษ์กับผมไม่ได้เห็นหน้ากันนานมาก จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ได้พบกันคือปี ๒๕๔๙ คราวไปพลีเอาดินจากโบสถ์วัดเก่าของหลวงพ่ออุตตมะที่จมอยู่ใต้น้ำ เพื่อจะเอามาผสมเป็น ๑ ในมวลสารสำหรับสร้างนาคารุ่น ๒
ตอนนั้นคุณอภิรักษ์ออกมาต้อนรับและนำพาคณะของผมไปสังขละกาญจนบุรีด้วยตนเอง
คณะที่มาจากอุบลฯนั้นมีผม,อาจารย์เวทย์ และคุณสุพจน์ ประเทืองเศรษฐ์ นายก อบต.คนปัจจุบันของ อบต.ในเมืองสุรินทร์ นอกจากนี้ก็ยังมีอาจารย์เบิ้มจากกรุงเทพฯ และนายตำรวจอีกท่านหนึ่งร่วมเดินทางไปด้วย
นับนิ้วได้ ๑๒ นิ้ว..เท่ากับ ๑๒ ปีพอดีที่ไม่ได้เจอกัน
เหตุที่จะได้พบกันอีกครั้งในปีนี้ ก็เพราะคุณอภิรักษ์รับธุระเป็นผู้พาหลวงพ่อนวล วัดแจ้ง จ.ตรัง ซึ่งท่านได้รับนิมนต์เดินทางมาปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดพระอาจารย์จ่อย(อุดมทรัพย์) ใน จ. ศรีสะเกษ จึงถือโอกาสพาหลวงพ่อนวลขึ้นมาจนถึงเมืองอุบลฯด้วย และตั้งใจว่าในวันรุ่งขึ้นจะให้ผมพาหลวงพ่อนวลเข้าลาว เพื่อจะไปหาซื้อเทียนขี้ผึ้งแท้สำหรับติดบาตรทำน้ำมนต์
เทียนขี้ผึ้งแท้เดี๋ยวนี้ไม่ว่าที่ไหนล้วนหายาก
แต่ในเมืองลาวยังพอจะหาได้ง่ายกว่าในเมืองไทย
ในการเดินทางมาครั้งนี้ คุณอภิรักษ์ถือเอาของฝากมาให้ ๒ อย่าง คือโสมทิเบต และ เหรียญหนุนดวง ของหลวงพ่ออุตตมะ
เรื่องแปลกจะอยู่ที่เหรียญหนุนดวงนี่แหละครับ
คุณอภิรักษ์เล่าว่า เมื่อรู้แน่ชัดว่าจะได้มาอีสานใต้ คือแถวๆนี้ ศรีสะเกษ กับ อุบลฯ ย่อมจะมีโอกาสได้เจอกันกับผม จึงนึกว่าจะเอาพระอะไรของหลวงพ่ออุตตมะมาฝากดี
แวบนั้น “เหรียญหนุนดวง” ก็ผุดขึ้นมาในหัว
ถึงจะผุดขึ้นมา แต่กลับหาไม่เจอ
พยายามค้นหาอยู่ ๒-๓ วันก็ยังไม่เจอ
ใจก็เสีย
เห็นท่าจะไม่ได้การ
จึงอธิษฐานหาหลวงพ่ออุตตมะ
บอกท่านว่าจะขออนุญาตเอาเหรียญหนุนดวงไปฝากเพื่อน ถ้าหลวงพ่ออนุญาตขอให้หาเจอ ถ้าไม่อนุญาตก็แล้วไป ไม่ต้องหาเจอ
อธิษฐานเสร็จไปไม่นาน ก็เหมือนมีอะไรดลใจให้มองไปที่กล่องเล็กๆใบหนึ่ง ซึ่งเป็นกล่องที่ไม่ได้วางซ่อนซับซ้อนอะไร เคยมองผ่านไปผ่านมาหลายรอบแล้ว แต่ไม่ได้เปิดดู เพราะแน่ใจว่าเป็นกล่องใส่พระปรกเนื้อผงของพระอาจารย์สุวิทย์ ทองผาภูมิ ที่เป็นฝีมือผมทำไว้นานหลายปีมาแล้ว
ในที่สุดก็ฉุกใจสงสัยกล่องใบนั้น ตัดสินใจลองเปิดดู ปรากฏว่าเป็นกล่องเก็บเหรียญหนุนดวงที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดจริงๆ
—-
เหรียญหนุนดวงคืออะไร ?
คุณอภิรักษ์เล่าว่า ครั้งหนึ่งได้กราบเรียนถามเชิงปรับทุกข์กับหลวงพ่ออุตตมะว่า ต่อไปภายหน้าถ้าหากหลวงพ่อไม่อยู่แล้ว คุณอภิรักษ์เอง หรือแม้แต่ลูกศิษย์คนอื่นๆ หากเกิดมีความเดือดร้อนขึ้นมา จะหวังพึ่งหลวงพ่อเหมือนสมัยหลวงพ่อยังอยู่ได้อย่างไร ?
หลวงพ่อจึงเขียนคาถาให้ พร้อมกับบอกว่า ให้เอาไปทำเหรียญพระมา ท่านจะทำไว้ให้เป็นของแทนตัวท่านต่อไปในอนาคต
คุณอภิรักษ์เอาคาถาที่หลวงพ่อจดให้มา ไปปรึกษาอาจารย์เบิ้มว่าจะทำอย่างไรดี อาจารย์เบิ้มออกความคิดว่า ให้ทำเป็นรูป ๑๒ นักษัตรไว้ด้านหน้า ส่วนด้านหลังให้ทำเป็นรูปยันต์แปดทิศมีหยินหยางกับคาถาหลวงพ่ออยู่ตรงกลาง ตกลงก็เห็นชอบตามนั้น พร้อมกับตั้งชื่อว่า : เหรียญหนุนดวง
รายละเอียดเหรียญหนุนดวงมีดังนี้
สร้างขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๘
จำนวนสร้างแต่ละแบบ
๑/ ลงยากะไหล่เงิน 70 เหรียญ
๒/ ลงยากะไหล่ทอง 70 เหรียญ
๓/ กะไหล่เงิน (ไม่ลงยา) 130 เหรียญ
๔/ กะไหล่ทอง (ไม่ลงยา)130 เหรียญ
๕/ ทองเหลืองชุบเงา 200 เหรียญ
๖/ ทองแดงรมน้ำตาล 400 เหรียญ.
ลงยากะไหล่เงิน
กะไหล่เงิน (ไม่ลงยา)
ทองแดงรมน้ำตาล
หลังจากสร้างเสร็จนำขึ้นถวายหลวงพ่ออุตตมะ ได้มีการนำออกวางจำหน่ายในตู้พระที่วัดวังก์วิเวการามด้วย
เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานหลวงพ่อก็ได้เรียกคุณอภิรักษ์มาหา และบอกว่าให้เก็บเหรียญทั้งหมดที่เหลืออยู่กลับไปรักษาไว้ที่บ้าน
คุณอภิรักษ์รับบัญชาแล้วเก็บเงียบไว้ตลอดมา ..แทบจะไม่ได้แจกใคร
*****
ความน่าอัศจรรย์ของเหรียญหนุนดวง
เรื่องที่ ๑ : นานมาแล้วพรรคพวกคนหนึ่งของคุณอภิรักษ์ที่อยู่เมืองกาญจน์มีปัญหากับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่อยู่ อาจจะถึงกับชีวิตเกิดวิกฤต เขาได้มาพบคุณอภิรักษ์ที่นครปฐม ขอให้ช่วยเหลือ โดยหาผู้ที่มีอำนาจบารมีพอที่จะเจรจาต่อรองกับคู่กรณีของเขาได้
คุณอภิรักษ์ได้บอกเขาว่า เนื่องจากเป็นคนละพื้นที่ คือเมืองกาญจน์กับนครปฐม จึงเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถจะช่วยเหลือได้
ขณะนั้นในหัวก็แวบคิดถึงเหรียญหนุนดวง จึงไปหยิบมาให้เขา ๑ เหรียญ ตอนที่เขารับเหรียญไว้ในมือ เขาร้องเอะอะเสียงหลงว่า “ผมเป็นอะไร ดูสิ ขนลุกชูชันขึ้นทั้งแขนเลย”
ต่อมาไม่นานเขาแจ้งข่าวคืบหน้ากับคุณอภิรักษ์ว่า ทุกอย่างลงเอยด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ พวกนั้นยอมรามือให้ ตกลงยุติเหตุขัดแย้งกันโดยไม่ต้องมีคนกลางไกล่เกลี่ยแต่อย่างใด
เรื่องที่ ๒ : อาจารย์เบิ้มเล่าว่า วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ลูกศิษย์ของอาจารย์เบิ้มคนหนึ่ง(ลืมชื่อ)ประสพเรื่องเดือดร้อนเป็นอันมาก อาจารย์เบิ้มจึงให้เหรียญหนุนดวงที่เหลืออยู่กับตัวท่านเองเพียง ๑ เหรียญแก่เขาไป
ต่อมาเขาได้กลับมาหาอาจารย์เบิ้ม ออกปากขอเหรียญหนุนดวงเพิ่มอีก ๑ เหรียญ อาจารย์เบิ้มบอกว่าไม่มีแล้ว มีแค่เหรียญเดียวก็ให้ไปแล้ว ทำไมยังจะมาขออีก
ลูกศิษย์อาจารย์เบิ้มเล่าว่า หลังจากได้เหรียญไปแล้ว เรื่องวุ่นวายยุ่งเหยิงก็คลี่คลายหายไปหมด
หลังจากชีวิตของเขากลับคืนมาดีแล้ว ภรรยาของเขากลับแย่ลงไป จึงขอยืมเหรียญหนุนดวงเหรียญนั้นไปแขวนติดตัวบ้าง ไม่นานชีวิตของภรรยาก็กลับคืนมาดีเหมือนกัน แต่เหรียญนั้นภรรยาของเขาได้ยึดเอาไว้ ไม่ยอมคืนให้ จึงมาขออีก
เรื่องที่ ๓ : คุณอภิรักษ์บอกผมภายหลังจากกับไปถึงบ้านครปฐมว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าอาจารย์เบิ้มได้ทำนายทายทักผมไว้อย่างไร ทำไมจึงนึกถึงเหรียญหนนุดวงขึ้นมา ทั้งๆมีพระของหลวงพ่ออุตตมะเยอะแยะสารพัดรุ่นกลับไม่นึก